วิถีของความหวัง: บทเรียน 52 ปี 14 ตุลา คบเพลิงของคนรุ่นใหม่

อ่านแล้ว 0

รีวิว (0)

14 ตุลา 2516 คบเพลิงของคนรุ่นใหม่


52 ปีผ่านไป เหตุการณ์ 14 ตุลาคมยังคงเป็นรอยแผลและบทเรียนของสังคมไทย สารคดี “หากไม่มีวันนั้น” และ “สัจจะวิถี” ไม่ได้เล่าเพียงภาพในอดีต แต่ชวนเรามองลึกลงไปถึงสิ่งที่ไม่เคยจางหาย และสะท้อนว่า ความเชื่อว่าอำนาจอาจชนะได้หลายครั้ง แต่ความหวังของผู้คนไม่เคยพ่ายแพ้


52 ปีผ่านไปหลังเสียงปืนสิ้นลงที่ถนนราชดำเนิน มีคำถามหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปไหน:


ประเทศนี้เรียนรู้อะไรจากวันนั้นบ้าง?


เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มักถูกเล่าซ้ำในห้องเรียน บนหน้าจอ หรือ ณ อนุสรณ์สถานในฐานะ “วันแห่งชัยชนะของประชาชน” แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เรื่องราวดูจะกลายเป็นเพียงภาพขาวดำในตำรามากกว่าบทเรียนที่มีชีวิต


สารคดีสองชุดของ Thai PBS “หากไม่มีวันนั้น“ และ “สัจจะวิถี” ชวนผู้ชมกลับมาขุดรื้อความทรงจำชุดนี้อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อเล่าเหตุการณ์ซ้ำ หากแต่เพื่อถามว่า “เรายังเข้าใจมันอยู่ไหม?”


เพราะบางที สิ่งสำคัญกว่าการจดจำได้ คือการมองเห็นในมุมใหม่



ทั้ง หากไม่มีวันนั้น และ สัจจะวิถี ต่างเปิดด้วยคำถามเดียวกัน:

“ระบอบเผด็จการที่ครองอำนาจมากว่าทศวรรษ พังลงได้เพราะแรงของใคร?”


สารคดีทั้งสองไม่ได้ตอบว่า “นักศึกษา” หรือ “ประชาชน” เท่านั้น หากแต่ชี้ให้เห็นว่าระบบนั้นพังลงเพราะความเปราะบางจากภายในเอง


เมื่อความชอบธรรมถูกแทนที่ด้วยผลประโยชน์ ความกลัวถูกใช้แทนความเชื่อมั่น และอำนาจถูกส่งต่อในครอบครัวเหมือนมรดก ระบอบที่เคยแข็งแรงถูกโค่นล้มลง ด้วยแรงสั่นสะเทือนที่เล็กที่สุดจากผีเสื้อเยาว์วัยที่ขยับปีก แต่เมื่อผีเสื้อนับแสนตัวขยับปีกพร้อมกัน ลมอันแผ่วเบาก็กลับกลายเป็นพายุ ที่พร้อมโถมซัดสิ่งที่ขวางครรลอง


การรัฐประหารตัวเองในปี 2514 คือรอยร้าวแรกที่ปรากฏบนกำแพง


สารคดีเล่าว่า จอมพลถนอม กิตติขจรทำไปเพราะ “ไม่ปฏิวัติก็ไม่ได้ รัฐสภาเริ่มฮึดฮัด ประชาชนเริ่มตั้งคำถาม และพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งหนุนหลังรัฐบาลไทยในสงครามเย็น ก็เริ่มไม่พอใจกับ ‘ความวุ่นวายในระบอบประชาธิปไตย’ ที่ขัดขวางการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์”


เมื่อทุกสิ่งตั้งอยู่บนความโหยหา “ความมั่นคง” มากกว่า “ความชอบธรรม” พลังที่ทำให้เผด็จการอยู่ได้ จึงกลายเป็นพลังเดียวกับที่ทำให้มันล่มสลาย 52 ปีผ่านไป เราเห็นคำอธิบายแบบเดียวกันปรากฏซ้ำในข่าวการเมืองทุกวันนี้มากมาย เหตุผลที่ว่า “เพื่อความสงบของประเทศ” มักถูกหยิบมาใช้แทนคำว่า “เพื่อประชาชน” และประวัติศาสตร์ดูจะวนกลับมาที่จุดเดิม เพียงแต่คนพูดเปลี่ยนหน้าเท่านั้น



ในความทรงจำของหลายคน เหตุการณ์ล่าสัตว์ทุ่งใหญ่อาจเป็นเพียงข่าวอื้อฉาว แต่ในสายตาของสารคดี มันคือ “รอยร้าวเชิงศีลธรรม” ที่ไม่อาจซ่อมได้ เมื่อซากกระทิงและควายป่าปรากฏในข่าว หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า “เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพตกพร้อมซากสัตว์สงวนเต็มลำ” ประชาชนไม่ได้โกรธแค้นเพียงเพราะว่าสัตว์ตาย แต่เพราะมันสะท้อนว่าอันที่จริงสิ่งที่ตายไปจนหมดสิ้นแล้ว คือศีลธรรมของผู้มีอำนาจต่างหาก


หากไม่มีวันนั้น เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “สวรรค์ส่งมาให้ฝ่ายประชาธิปไตย” เพราะมันทำให้คำว่า “คนเท่ากัน” ไม่ใช่แค่แนวคิดในห้องเรียนอีกต่อไป ส่วน สัจจะวิถี เรียกมันว่า “จุดปริร้าวของเกราะอำนาจ” เพราะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนรู้สึกว่า ความอยุติธรรมไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในนามของรัฐ เรื่องราวของทุ่งใหญ่จึงไม่ใช่แค่ภาพในอดีต หากคือจุดเริ่มต้นของ “การตื่นรู้” เมื่อผู้คนเริ่มเห็นว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้อยู่แค่ในเศรษฐกิจ แต่มันอยู่ในโครงสร้างอำนาจที่อนุญาตให้บางคนอยู่เหนือกฎหมาย ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยข่าวทุจริต ความฟุ่มเฟือย และการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์โดยปราศจากยางอาย “ทุ่งใหญ่” ยังคงเกิดขึ้นซ้ำทุกวัน เพียงแค่เปลี่ยนฉากหลังจากป่าลึกมาเป็นโต๊ะประชุมเท่านั้นเอง



นักศึกษาที่ลุกขึ้นเรียกร้องรัฐธรรมนูญในปี 2516 ไม่ได้เริ่มต้นจากความโกรธ แต่เริ่มต้นด้วย “ความเชื่อ”

พวกเขาเชื่อว่าการตั้งคำถามไม่ใช่อาชญากรรม เชื่อว่าความรู้ไม่ควรถูกจำกัดด้วยความกลัว และเชื่อว่า “การเมืองคือเรื่องของทุกคน” คำที่ในยุคนั้นถือเป็นคำอันตราย สารคดีบันทึกว่า กลุ่มนักศึกษายุคก่อน 14 ตุลาเคยถูกเรียกว่า “แกะดำ” มาก่อน แต่การถูกมองว่าแปลกแยกกลับกลายเป็นพลังขับเคลื่อน พวกเขาอ่านหนังสือ สังคมศาสตร์ปริทัศน์ เขียนแถลงการณ์ จัดอภิปราย และค่อยๆ สร้าง “วัฒนธรรมการโต้แย้ง” ที่รัฐไม่อาจควบคุมได้


นอกจากนั้น ความเชื่อในความเท่าเทียม ยังก่อให้เกิดภาพอันน่าทึ่ง อย่างความร่วมมือระหว่าง “นักเรียนอาชีวะ” กับ “นักศึกษามหาวิทยาลัย” คนสองกลุ่มที่ถูกมองว่าแตกต่างกันทั้งชนชั้นและวิถีชีวิต กลับรวมพลังกันในชื่อ “หน่วยฟันเฟือง” เพื่อปกป้องผู้ชุมนุม เพราะมันไม่ใช่แค่การประท้วง แต่มันคือ “การสร้างสังคมใหม่ชั่วคราว” ที่ทุกคนเท่ากัน ภายใต้ความฝันเดียวกัน


ความฝันที่อยากเห็นไทยเป็นประชาธิปไตย


วันนี้ในยุคที่คำว่า “ม็อบคนรุ่นใหม่” กลับถูกตีความด้วยอคติเดิมๆ เราอาจลืมไปแล้วว่า 14 ตุลาไม่ได้เกิดจากความเกลียดชัง แต่เกิดจาก “ความกล้า” และความกล้านั้นไม่ได้มาจากการมีอำนาจ แต่มาจากการไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว



ในทุกการรำลึก 14 ตุลา มักมีคำถามที่ไม่มีคำตอบแน่ชัด คือ “ใครสั่งยิง?” กันแน่


ทั้งสองสารคดีเลือกจะไม่ตอบตรงๆ แต่พาเราไปดูความซับซ้อนของอำนาจในวันที่คำสั่งไม่ชัดเจน และความกลัวครอบงำทุกฝ่าย

หากไม่มีวันนั้น มองว่านั่นคือช่วงเวลาที่ “ระบอบถนอม-ประภาส” หมดความชอบธรรมทางการเมืองโดยสิ้นเชิง

ส่วน สัจจะวิถี เลือกเล่าผ่านเสียงของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนายทหาร ลูกสาวผู้นำ และผู้รอดชีวิต บางคนยังเชื่อว่ามันคืออุบัติเหตุทางการเมือง บ้างบอกว่าเป็นความตั้งใจของคนในอำนาจที่ไม่ต้องการให้ประชาชนกลับบ้าน


ทว่าสิ่งที่สารคดีทั้งสองเรื่องเห็นตรงกัน คือ “ไม่มีใครที่ยิงใส่ประชาชนแล้วจะชนะได้จริง”


การล่มสลายของระบอบนั้น เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังความรุนแรงเริ่มต้น


ภาพ “สมเด็จย่า” ที่เสด็จลงมาช่วยนักศึกษาที่หนีตายเข้ามาในสวนจิตรลดา ยังคงเป็นภาพที่อยู่ในใจใครหลายคนที่เกิดทัน ไม่ใช่เพราะมันคือภาพของการแสดงออกของสถาบัน แต่เพราะมันคือภาพของ “ความเป็นมนุษย์ในเวลาที่ฝ่ายอำนาจสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว”



หากไม่มีวันนั้น เรียก 14 ตุลา ว่า “Big Bang ทางการเมือง” ส่วน สัจจะวิถี เรียกมันว่า “บันไดขั้นแรกของประชาธิปไตยไทย” ทั้งคู่ต่างเชื่อว่า สิ่งที่เหลืออยู่จากวันนั้นไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือ “เสรีภาพ” เสรีภาพในการชุมนุม การพูด การเขียน การตั้งคำถาม สิ่งสามัญเหล่านี้ ที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนในวันนั้น


หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา สังคมไทยเกิดคลื่นของ “ภาคประชาชน” อันมีแรงกระเพื่อม สหภาพแรงงาน สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ ไปจนถึงพรรคการเมืองของปถุชนคนธรรมดาในวันนี้้ ถึงแม้ว่าคลื่นนั้นจะถูกกลืนหายไปอีกครั้งในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แต่เมล็ดพันธุ์ของการตื่นรู้ก็ได้ถูกหว่านออกไปแล้ว และเติบโตจากรุ่นสู่รุ่นขึ้นทุกวัน


สิ่งที่น่าคิดคือ กว่าครึ่งศตวรรษผ่านไป แต่สังคมไทยและคนรุ่นใหม่ก็ยังคงต้องต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพเหล่านั้น เรายังเห็นคนถูกคุมขังเพียงเพราะโพสต์ข้อความหรือกดแชร์บทความบนเฟซบุ๊ก เห็นการปิดกั้นการชุมนุมในนามของ “ความสงบเรียบร้อย” และยังเห็นคำอธิบายเดิม ๆ ที่เคยใช้เมื่อ 52 ปีก่อน ถูกหยิบมาใช้อีกในวันนี้


บางที สิ่งที่เราขาดไป อาจไม่ใช่ “ความกล้า” แต่คือ “ความเชื่อ” ว่าเรายังเปลี่ยนแปลงได้จริง



เมื่อย้อนกลับไปดูสารคดีทั้งสองชุด จะเห็นว่าสิ่งที่ Thai PBS ทำไม่ใช่การเล่าอดีต แต่คือการชวนเราทบทวน “จิตสำนึกทางประวัติศาสตร์” ของตัวเอง ว่าความทรงจำไม่ได้อยู่ในพิพิธภัณฑ์ แต่อยู่ในการกระทำของคนในวันนี้ เหตุการณ์ 14 ตุลาไม่ได้จบเพียงการโค่นล้มเผด็จการกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่ามันได้เริ่มต้นกระบวนการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่และยาวนานกว่าตัวเหตุการณ์มาก


เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยไม่มีทางลัด


เรียนรู้ว่าการมีเสรีภาพต้องแลกมาด้วยความรับผิดชอบ


และเรียนรู้ว่าความหวังไม่ใช่สิ่งที่รัฐจะมอบให้ แต่เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องสร้างขึ้นเอง


ประชาธิปไตยไม่ใช่รางวัลจากใคร แต่คือการต่อสู้ที่ต้องต่อเนื่องของทุกคน

บางที “สัจจะวิถี” ของวันนั้น อาจหมายถึงการยอมรับว่า ไม่มีประชาธิปไตยใดสมบูรณ์ในวันเดียว

แต่ทุกครั้งที่คนรุ่นใหม่ยังกล้าตั้งคำถาม ทุกครั้งที่ใครบางคนยังเชื่อว่าความจริงมีความหมาย

ทุกครั้งที่เราไม่ยอมชินชากับความอยุติธรรม เหตุการณ์วันนั้นก็ไม่ได้สูญเปล่าเลย


ประวัติศาสตร์จะไม่จบลง ตราบใดที่เรายังไม่หยุดเรียนรู้

ประชาธิปไตยจะไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังไม่ยอมแพ้

ความหวัง คือพลังของประชาชน



รับชมสารคดีชุด “14 ตุลา คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง” ได้ทาง VIPA 🧡

คลิก ▶️ https://play.vipa.me/QJ7FmQSMmWb


.


แหล่งอ้างอิง

  • สารคดีชุด หากไม่มีวันนั้น 14 ตุลา 2516
  • สารคดีชุด สัจจะวิถี 40 ปี 14 ตุลา
  • สถาบันปรีดี พนมยงค์
  • Thai PBS
เกี่ยวกับผู้เขียน
กฤษฏิ์ เอื้ออุดมเจริญชัย

คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)

แท็กที่เกี่ยวข้อง
14 ตุลา
14 ตุลา 2516
ประชาธิปไตย
การเมือง
สารคดี
สารคดีการเมือง
ประวัติศาสตร์