อ่านแล้ว 0
เดือนมีนาคมปี 2025 ชาวปาเลสไตน์ 2 คนและอิสราเอล 2 คนที่ต่างไม่เคยทำหนังมาก่อน เดินขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ รางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกภาพยนตร์ ในสาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ทั้งยังเป็นภาพยนตร์สัญชาติปาเลสไตน์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่ชนะรางวัลบนเวทีนี้ จากผลงานสารคดีนาม “No Other Land” ที่ทั้ง 4 คนทำขึ้นมาเพื่อหวังว่าจะสามารถถ่ายทอดความอยุติธรรมในสังคมที่แวดล้อมพวกเขาอยู่ให้ได้รับความสนใจจากโลกภายนอก และหวังว่าความเปลี่ยนแปลงมาถึงได้ในสักวัน
2 คนแรกหลังจากกลับประเทศไป ถูกลอบทำร้ายร่างกายและทรัพย์สิน คนหนึ่งถูกปาหินใส่บ้าน ส่วนอีกคนถูกรุมทำร้ายและโดนจับกุมตัวไปขังในค่ายทหาร
ในขณะที่ 2 คนหลัง ถึงจะถูกด่าทอต่อว่าจากคนบางกลุ่มในโทษฐาน “ชังชาติ” แต่พวกเขาก็ยังกลับประเทศไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติในฐานะปุถุชนซึ่งมีสิทธิเสรีภาพทุกประการคนหนึ่ง
คนสองกลุ่มนี้ อยู่ห่างจากกันแค่ 30 นาที
ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน ที่ปรึกษาภาพยนตร์ชาวปาเลสไตน์ ก็ถูกลอบยิงจนเสียชีวิต
เรื่องราวของ No Other Land จึงไม่ใช่แค่สารคดีที่บันทึกการดิ้นรนเพื่อที่ดินของชาวปาเลสไตน์ แต่มันยังเผยให้เห็นราคาที่ผู้ผลิตสื่อต้องแลก เพื่อส่งต่อความจริงไปสู่สายตาทั่วโลก
ลองนึกภาพว่าที่ดินบ้านของคุณที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษหลายร้อยพันปี อยู่มาวันหนึ่งก็ถูกกำหนดบันทึกใหม่บนแผนที่ว่าเป็น “เขตซ้อมรบทางทหาร” ที่ทหารจะใช้กระสุนจริงยิงหินระเบิดตึกเมื่อไหร่ก็ได้ไปเสียอย่างนั้น ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ชีวิตของผู้คนในเขต West Bank รัฐปาเลสไตน์ล้วนแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนมาโดยตลอด บ้านถูกไล่รื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่า โรงเรียนต้องย้ายแล้วย้ายอีก ถนนหนทางที่เคยสัญจร วันร้ายคืนร้ายก็กลายเป็นเส้นทางควบคุมของทหาร
หลังผ่านกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายอยู่กว่าสองทศวรรษ ปี 2022 ศาลฎีกาอิสราเอลได้มีคำตัดสินที่เปิดทางให้การไล่รื้อถอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ “firing zone” ที่ทหารและผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอล “ชอบทำ” กันมาอยู่เป็นนิตย์ ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่าง “ชอบธรรม” ตามกฎหมาย
ชอบธรรมโดยตัวบท แต่ไม่ชอบธรรมต่อชีวิตผู้คน
ทั้งที่อายุเท่ากันและบ้านอยู่ห่างกันไม่ถึงชั่วโมง แต่ชีวิตของ Basel Adra กับ Yuval Abraham นั้นต่างกันลิบลับ บาเซลในฐานะชาวปาเลสไตน์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายทหาร เคลื่อนไหว-ใช้ชีวิตลำบาก เสี่ยงต่อการถูกจับและถูกทำร้ายได้ตลอดเวลา ขณะที่ยูวัลในฐานะชาวอิสราเอลได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายพลเรือน มีสิทธิเลือกตั้ง และเดินทางไปไหนมาไหนไม่ว่าจะในหรือนอกประเทศได้อย่างเสรี
บาเซลเป็นนักเคลื่อนไหวชาวปาเลสไตน์ที่เติบโตมาใน Masafer Yatta หมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกประกาศเป็นพื้นที่ดังกล่าว บาเซลหยิบกล้องขึ้นมาบันทึกทุกเหตุการณ์ เพราะสำหรับเขา กล้องไม่ใช่เครื่องมือสร้างงานศิลปะ แต่คือหลักฐานที่ยืนยันว่า “บ้านของฉันเคยอยู่ตรงนี้จริง”
ส่วน Yuval Abraham เป็นนักข่าวชาวอิสราเอล ที่เล็งเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นราวนรกกับสวรรค์เพียงเหยียบก้าวข้ามเส้นพรมแดน หลังจากได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับบาเซล เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมบันทึกภาพ และกลายเป็นทีมที่ช่วยกันเล่าเรื่องราวของ Masafer Yatta ให้โลกรับรู้
ทุกครั้งที่รถแทรกเตอร์เข้าไถบ้าน ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่บุกค้น ทุกครั้งที่มีการโจมตีคุกคามจากผู้กดขี่ ภาพที่ถูกบันทึกไว้คือหลักฐาน และเป็นเรื่องเล่าคู่ขนานที่คอยโต้แย้งคำอธิบายจากฝ่ายอำนาจ และในฐานะสื่อมวลชน การหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายในพื้นที่แบบนี้ไม่ใช่แค่การยืนอยู่ข้างสนาม แต่มันคือการเดินเข้าสู่แนวไฟอย่างแท้จริง เพราะฟุตเทจที่ถ่ายอาจกลายเป็นหลักฐานที่ท้าทายอำนาจรัฐ อย่างที่เราเคยเห็นพลังของคลิปบันทึกภาพการลุกฮือในอาหรับสปริง ฮ่องกง หรือแม้แต่การประท้วงในไทย ที่ภาพจากมือถือ ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
Basel เคยให้สัมภาษณ์ว่า “กล้องคือเครื่องมือเดียวที่เรามี เพื่อพิสูจน์ความจริง” ประโยคนี้สะท้อนบทบาทของสารคดีในฐานะ “เสียงตะโกน” จากพื้นที่ที่มักถูกทำให้เงียบงัน เฉกดังทฤษฎีสื่อของ Bill Nichols ที่มองว่าสารคดีคือการสร้าง “เสียงที่มีน้ำหนักเชิงหลักฐาน” หรือ Susan Sontag ที่เขียนถึงภาพถ่ายว่าเป็น “หลักฐานของความจริง” (evidence of truth)
ในโลกที่อำนาจรัฐสามารถควบคุมการเล่าเรื่องได้อย่างเบ็ดเสร็จ กล้องจึงกลายเป็นเสมือน “ตาอีกคู่” ที่บังคับให้ผู้มีอำนาจต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ
ถึงแม้ว่าจะกวาดกล่องจากเทศกาลหนังและเทศกาลรางวัลไปทั่วโลก ตั้งแต่ Berlinale, BAFTAs, ไปจนถึง Oscars แต่ทว่าความสำเร็จไม่ได้ถึงการรับรองความปลอดภัย หลังจากสวมสูทขึ้นรับรางวัลออสการ์ในนครดาราเพียงไม่กี่วัน Hamdan Ballal หนึ่งในผู้กำกับร่วมของหนังชาวปาเลสไตน์ ถูกกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานซึ่งจำนวนหนึ่งใส่เครื่องแบบทหารอิสราเอล บุกเข้าทำร้ายร่างกาย ถูกรุมกระทืบและใช้กระบอกปืนทุบฟาดศีรษะ ถูกปิดตา มัดมือ และถึงขั้นดึงตัวเขาออกจากรถพยาบาลที่กำลังจะพาไปรักษา เพื่อไปคุมขังบนพื้นคอนกรีตในห้องแอร์เย็นยะเยือกอยู่กว่า 24 ชั่วโมง ด้วยข้อหาไร้มูลอย่าง “ไปปาหินใส่เยาวชนผู้ตั้งถิ่นฐานคนหนึ่ง”
ไม่กี่เดือนถัดมา Awdah Hathaleen นักเคลื่อนไหวและที่ปรึกษาของภาพยนตร์ ก็ถูกยิงเข้าที่ปอดโดยผู้ตั้งถิ่นฐานหัวรุนแรง และเสียชีวิตในเวลาไม่นาน ขณะที่ Basel เองก็ถูกทำร้ายและเข้าทำลายทรัพย์สินภายในบ้านโดยกลุ่มคนอาวุธครบมือ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเช่นกัน
ไม่ใช่เพียงการโจมตีโดยตรงภายหลังหนังถูกเผยแพร่เท่านั้น ทว่าการถ่ายทำในพื้นที่เสี่ยง ยังหมายถึงการอยู่ท่ามกลางความรุนแรงที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกวินาที อย่างที่ Basel ถูกทหารบุกรุกบ้านเพื่อเข้ายึดคอมพิวเตอร์และกล้องถึงสองครั้ง หมายจะหยุดยั้งการผลิตหนังสารคดีเรื่องนี้ นอกจากนี้ในระหว่างถ่ายทำ Harun Abu Aram หนึ่งใน subject ของสารคดี ก็ถูกยิงจนกลายเป็นอัมพาตขณะพยายามปกป้องทรัพย์สินในหมู่บ้าน และด้วยการถูกบังคับอพยพย้ายถิ่นฐานและไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดี เขาก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ไม่ใช่แค่ในปาเลสไตน์ แต่การคุกคามผู้ถ่ายทอดความจริงนั้นเกิดขึ้นทั่วโลก ในโรมาเนียผู้กำกับสารคดี Mihai Dragolea และทีมงานถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักขณะถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับการตัดไม้เถื่อน ขณะที่ในฟิลิปปินส์: Maria Ressa ถูกคุกคามและฟ้องร้องหลายครั้งเพราะรายงานเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเมือง ไม่ต้องพูดถึงในประเทศไทยที่การกลั่นแกล้ง ใช้อิทธิพลเล่นงาน และการฟ้องร้องปิดปากนั้นมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ UNESCO รายงานว่า ระหว่างปี 2009–2023 มีนักข่าวและสื่อสิ่งแวดล้อมกว่า 749 เคส ที่ถูกโจมตีหรือคุกคาม และกว่า 70% ของนักข่าวสิ่งแวดล้อมทั่วโลกเคยเผชิญการข่มขู่โดยตรง นอกจากนี้ ACLED ยังบันทึกว่าในปี 2022 มีเกือบ 520 เหตุการณ์ ที่นักข่าวทั่วโลกถูกทำร้ายหรือคุกคามระหว่างปฏิบัติหน้าที่
เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า“ความเสี่ยง” ได้กลายเป็น common ground ของคนทำสื่อ ไม่ว่าจะเป็นคนทำหนัง ผู้ผลิตสารคดี หรือนักข่าว ผู้ผลิตสื่อไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่คือผู้ที่ยืนอยู่ในแนวหน้าของภัยอันตราย เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนภายนอกได้รับรู้
ยิ่งไปกว่านั้น ความเสี่ยงไม่ได้หยุดอยู่แค่ผู้สร้าง แต่ยังขยายไปถึงชุมชนและ subject ที่ถูกเล่าถึง การมีกล้องมาจับภาพ ในแง่หนึ่งอาจหมายถึงการสร้างความรู้จักและรับรู้ถึงปัญหาต่อสาธารณชน แต่ในอีกด้าน ก็หมายถึงการที่พวกเขาอาจกลายเป็นเป้าการตอบโต้โจมตีมากยิ่งขึ้นด้วย ชาวบ้านที่ปรากฏใน No Other Land หลายคนยังคงถูกคุกคาม ถูกปาหินใส่บ้านอย่างต่อเนื่อง ที่ยิ่งไปกว่านั้น แทนที่สปอตไลต์จากเวทีโลกจะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ไม่เลย บาเซลเปิดเผยว่า หลังจากกลับมาจากออสการ์ พวกเขาถูกโจมตีทุกวันด้วยซ้ำ ราวกับว่าเป็นการลงโทษที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมา
ในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมสื่อ ทีมท้องถิ่นหรือผู้ประสานงานในพื้นที่เป็นคนพาเราเข้าไปถึงหมู่บ้าน เปิดประตูภาษาและวัฒนธรรม พูดคุยกับผู้ถูกกดขี่ แต่เมื่อผลงานออกสู่สาธารณะ กลับมักเห็นชื่อผู้กำกับหรือนักข่าวต่างชาติเด่นชัด ส่วนคนท้องถิ่นที่เสี่ยงที่สุดกลับไร้เกราะคุ้มกันและแทบไม่มีชื่อในเครดิต หลายครั้งที่สำนักข่าวต่างชาติได้รับรางวัล Pulitzer แต่ชื่อของ local fixer กลับไม่เคยถูกพูดถึง ทั้งที่พวกเขาอาจเป็นคนที่เสี่ยงที่สุด ความไม่เท่าเทียมจึงอยู่ทั้งในเรื่องที่เล่าและในโครงสร้างการเล่าเรื่องเอง ที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายไม่เท่ากัน
แล้วทำไมถึงยังต้องถ่ายต่อ?
เพราะถ้าไม่มีภาพ โลกก็ไม่มีหลักฐาน
ถ้าไม่มีเสียง โลกก็ไม่มีพยาน
บาเซลให้สัมภาษณ์ว่า “ผมไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลย ผมไม่ได้มีความหวัง หรือพลังอำนาจอะไรจะไปต่อสู้กับผู้กดขี่ สิ่งเดียวที่มีคือกล้องและความดื้อของคนทั้ง community ที่จะไม่ยอมแพ้ ความดื้อที่ไม่ยอมให้เรื่องของหมู่บ้านเล็กๆ นี้หายไปจากความทรงจำเพียงเพราะไม่มีใครกดปุ่มบันทึก”
ถึงแม้ No Other Land จะไม่สามารถหยุดยั้งการไล่รื้อถอนบ้านหรือการโจมตีและการใช้ความรุนแรงได้ในทันที แต่มันก็ได้สร้างแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาล ชื่อของ Masafer Yatta ปรากฏในสื่อระดับโลกและบนโต๊ะประชุมของ UN การฉายหนังตามเทศกาลหรือ community center ทำให้ผู้คนทั่วโลกได้ยินเสียงของชุมชนเล็ก ๆ ที่ครั้งหนึ่งแทบไม่มีใครรู้จัก และสามารถทำให้คนจำนวนมากหันมาสนใจปัญหา และร่วมส่งเสียงให้ดังขึ้นได้
เสียงของคนคนหนึ่งอาจไม่มีใครได้ยิน แต่เมื่อทุกๆ คนต้องเปล่งเสียงพร้อมกัน สุ้มเสียงนั้นย่อมกังวานกึกก้องและกลายเป็นพลัง สารคดีอาจหยุดสงครามโลกไม่ได้ แต่สารคดีสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่โลกมองสงครามนั้นได้ และอย่างน้อยที่สุด มันก็ได้สร้าง “ร่องรอยในประวัติศาสตร์” และ “ความทรงจำร่วม” ที่ทำให้ความอยุติธรรมไม่ถูกลืมเลือน
No Other Land ไม่ได้พูดถึงแค่หมู่บ้านที่กำลังถูกทำลาย แต่มันยังพูดถึงผู้สร้างที่ต้องยอมแลกทั้งความปลอดภัย เสรีภาพ และบางครั้งคือชีวิต เพื่อที่จะให้ความจริง เดินทางผ่านจอมาถึงผู้ชม
นี่คือราคาที่แท้จริงของการสร้างสารคดี คำถามสุดท้ายที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ฝากทิ้งไว้ จึงไม่ใช่แค่ว่าสารคดีเล่าเรื่องอะไร แต่คือคำถามว่า “เมื่อได้รับรู้และเห็นภาพทั้งหมดแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป?”
มาร่วมถอดบทเรียน และมองให้ลึกถึงราคาที่ผู้สร้างสารคดีต้องแลก รับชม No Other Land ได้แล้ววันนี้ ทาง www.VIPA.me และ VIPA Application 🧡
แหล่งอ้างอิง
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)