อ่านแล้ว 0
ใครเลยเคยคิดถึงผู้เฒ่า ที่เส้นผมหงอกขาวและดวงใจอาดูร ค้ำจุนจนลูกหลานเติบใหญ่ ต่างตอบแทนน้ำใจเพียงรดน้ำดำหัว สังคมทวีความดิ้นรน สอนคนให้คิดเห็นแก่ตัว คนเฒ่าที่ฟันหักตามัว กลัวไม่มีคนไปเผา
ผู้เฒ่า - คาราบาว
โทรศัพท์เครื่องเก่าดังขึ้นท่ามกลางบ่ายอันเงียบงัน เสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้นปลายสายนั้นอบอุ่นและสุภาพจนฟังดูน่าเชื่อถือ
“สวัสดีค่ะ คุณ… ดิฉันโทรติดต่อจากธนาคาร… นะคะ เนื่องจากปัญหาขัดข้องที่เกิดขึ้นภายในระบบ ส่งผลให้บัญชีของคุณต้องได้รับการปรับปรุงและยืนยันตัวตนเพื่อรักษายอดเงินค่ะ”
คนแก่ในบ้านหลังนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่น “ครับ… ต้องทำอย่างไรบ้างครับ?”
เขาไม่ได้ หลงเชื่อ เพราะโง่งมไม่รู้จักโลก แต่เพราะ อยากเชื่อ
อยากเชื่อว่ายังมีใครสักคนโทรมาหาเขา อยากเชื่อว่ายังมีคนต้องการพูดกับเขา
ในสังคมที่คนสูงวัยกำลังถูกทิ้งให้อยู่กับความเดียวดาย “เสียงปลายสาย” กลายเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้หัวใจรู้สึกว่าตัวเองมีอยู่จริง ยิ่งฟังดูอบอวลไปด้วยความห่วงใยที่โหยหามาเสมอ แม้เพียงจบบทสนทนาว่า “ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะคะ” เท่านั้น ก็เป็นดั่งแสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาในห้องฝุ่นเขรอะมืดมน และอาบชโลมให้หัวใจของคนแก่เฒ่า กลับเยาว์วัยขึ้นมาอีกครั้ง
บางครั้ง ความรุนแรงก็มาในรูปลักษณ์ของสิ่งที่คิดว่าเป็น “ความหวัง”
หวังว่าโลกจะยังไม่ได้ลืมเขาไป
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” (Aged Society) ที่ประชากรที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีสัดส่วนมากกว่า 20% และจะเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ภายในปี 2574 เมื่อประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่วัยแรงงานลดลง ความเสี่ยงต่อการถูกทอดทิ้งหรือกระทำรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยตามโครงสร้างสังคม จากงานวิจัยเรื่อง การกระทำความรุนแรงต่อผู้สูงอายุภายในครอบครัว: สาเหตุและแนวทางป้องกัน โดยธีระ กุลสวัสดิ์ และคณะ (2563) พบว่า ความเปราะบางทางสังคม โดยเฉพาะความโดดเดี่ยวและการขาดปฏิสัมพันธ์ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุกลายเป็นเหยื่อของทั้งการหลอกลวงและความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว พวกเขามักเงียบ ไม่ร้องขอ ไม่กล้าเล่า เพราะ “ไม่มีใครฟัง” และเกรงว่าจะ “เป็นภาระ”
ในภาพยนตร์สั้นเรื่อง ฒ ผู้เฒ่า (The Last Light) เราได้เห็นชายสูงวัยชื่อ “ชูชัย” รับโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อหลอกให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เขานั่งฟังอยู่นาน ทั้งที่ในใจอาจรู้อยู่แล้วว่าไม่จริง แต่เสียงปลายสายที่พูดอย่างสุภาพ อ่อนโยน และทำให้นึกถึงลูกหลานที่เคยเลี้ยงดู กลับทำให้รู้สึกว่าตนนั้นมีความสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง หรือยิ่งไปกว่านั้น มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะความรุนแรงที่ร้ายแรงที่สุด อาจไม่ได้มาจากการถูกตบตีทำร้ายร่างกาย แต่มาจากการถูกละเลยหมางเมิน และกลายเป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน Scamming หรือการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ไม่ใช่เพียงแค่อาชญากรรมทางเทคโนโลยี แต่มันคืออาชญากรรมทางความสัมพันธ์ ในสังคมที่ไม่มีใครพูดกับคนแก่แล้ว ลูกหลานที่เหินห่างร้างรา คนรักที่จากไปแสนนาน มิตรสหายที่คิดถึง ทุกๆ รูปแบบความสัมพันธ์ที่พร่าเลือนลงล้วนแล้วแต่ทำให้หัวใจของคนๆ หนึ่งในโมงยามที่คนรอบตัวมีแต่จะค่อยๆ หายไป ว้าเหว่เปลี่ยวเหงาจนความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะได้ยินชื่อของตัวเองจากใครสักคน กลับกลายเป็นช่องโหว่ให้คนเข้ามาทำให้เจ็บช้ำได้อย่างง่ายดาย
ถ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือตัวแทนของภัยนอกบ้าน ลูกหลานบางคนในหนังเรื่องนี้ ก็คือตัวแทนของภัยในบ้าน ด้วยความรุนแรงในนามของความรัก
แม่วัยไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงหลังโรคหลอดเลือดในสมองแตก เครื่องช่วยหายใจที่เชื่อมต่อผ่านคอ ส่งเสียงเบาๆ คล้ายเสียงถอนใจของชีวิตที่เหลืออยู่เพียงเส้นด้าย แพทย์ถามลูกๆ ให้ตัดสินใจ ว่าปล่อยคนไข้ให้พ้นจากความทรมานไปไม่ดีกว่าเหรอ ก่อนหน้านี้เอง แม่ก็เคยแสดงเจตจำนงให้ท่านได้ข้ามผ่านทุกขเวทนาทั้งทางกายและใจนี้ไปจะดีกว่า ความเจ็บปวดจากร่างกายที่ป่วยไข้ ความละอายที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แม้เพียงปัสสาวะ ความรู้สึกผิดของการเป็นภาระให้ลูกหลานต้องดูแล เหล่านี้ต่างสั่งสมให้การจากไปอย่างสงบดูเป็นทางเลือกที่ทำให้พบพานซึ่ง “ความสุข” มากกว่า
ลูกสาวน้ำตาคลอ ก่อนพูดเสียงสั่นว่า “แม่จะทำแบบนี้ไม่ได้ แม่ต้องอยู่กับฉันตลอดไป ฉันทนได้”
ฉากอันสะเทือนอารมณ์และแทงใจคนดูอย่างยิ่งยวดนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ความรักเอง ก็สามารถผันกลายเป็นความรุนแรงได้ นั่นคือความรุนแรงทางอารมณ์ที่เกิดจาก ความกลัวจะสูญเสีย
งานวิจัยอธิบายผ่าน Dependence Theory ว่า ผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพาผู้อื่นทางร่างกายหรือเศรษฐกิจ มักกลายเป็น “ภาระทางอารมณ์” ให้ผู้ดูแลโดยไม่ตั้งใจ ความเครียดนั้นบางครั้งก็แปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงในรูปของ “การควบคุม” อย่างการไม่ยอมให้จากไป การตัดสินใจแทน และการยื้อชีวิตไว้ เพื่อคลายความรู้สึกผิดของตัวเอง
ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการถูกทำร้ายโดยคนที่รักที่สุด โดยที่เขาไม่รู้ว่ากำลังทำร้ายเรา และทำให้บ้านไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่หรือปลอดภัยอีกต่อไป
“การที่ลูกๆ อยากให้ท่านอยู่ อยากรักษาชีวิตท่านไว้ ก็เป็นการทำหน้าที่ลูกได้อย่างดีที่สุดแล้ว แต่ลูกๆ เคยถามท่านไหมครับ ว่าท่านอยากอยู่ไหม เรากำลังเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า?”
แพทย์คนเดิมถามเบาๆ อีกครั้ง
ในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือแพทย์ เสียงร้องไห้ของลูกหลาน กลับดังยิ่งกว่าเสียงหัวใจของคนที่กำลังจะไป
ในเรื่อง ตัวละครแม่ได้เขียน หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรักษาเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต (Living Will) ไว้แล้ว เธอไม่ได้อยากตายเพราะสิ้นหวัง แต่เพราะอยากจบความเจ็บอย่างสงบ แต่ทว่าสังคมไทยยังไม่เข้าใจแนวคิด “สิทธิ์ในการตายดี” (good death) เรามักสอนให้ “ยื้อ” มากกว่า “ยอมรับ” เพราะกลัวจะรู้สึกผิดกับคำว่ากตัญญู
ในสังคมที่ยึดถือคุณงามความดีเป็นสรณะ เราอาจลืมถามตัวเองไปว่า ความดีนั้นทำร้ายใครอยู่หรือเปล่า บางที การไม่อยากอยู่ต่อก็ไม่ใช่ความอ่อนแอ หากแต่เป็นความเข้มแข็งที่สุดของชีวิตแล้ว ที่จะกล้าพูดว่า “พอแล้ว” ต่อหน้าคนแวดล้อมที่กลัวความตายมากกว่าความทุกข์
ในอีกมุมของหนัง "ครูโสภี" ครูเกษียณวัยหกสิบ ยืนอ้ำอึ้งลังเลที่จะส่งโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่จากบริษัทรักษาความปลอดภัยทำการตั้งค่าการดูกล้องวงจรปิดจากโทรศัพท์มือถือให้ ด้วยกลัวว่า “จะเห็นอะไรๆ ในบ้านฉันหมด” และเจ้าหน้าที่อาจกลายเป็นขโมยเสียเอง จนไม่กล้าจะให้เขาเข้ามาปรับปรุงกล้องให้ในภายหลัง ขณะที่เจ้าหน้าที่รุ่นหลานก็ไม่ได้ใส่ใจมากพอที่จะอธิบายให้โสภีเข้าใจถึงเจตนาและการกระทำให้คลายกังวล
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ลูกสาวและหลานย้ายไปแสวงหาโอกาสทางหน้าที่การงานและการศึกษาในเมืองหลวง และเธอต้องอยู่อาศัยในต่างจังหวัดด้วยตัวคนเดียว เธอยังมีอาการวิตกกังวลเข้าขั้นใกล้เคียงโรคแพนิค (Panic Disorder) ตั้งแต่การเปิดเพลงและไฟในบ้านให้สว่างในยามกลางคืน เพื่อตบตาว่าที่บ้านมีงานเลี้ยงและมีคนอยู่มาก ไปจนถึงการตอกไม้ปิดทับหน้าต่างทุกบานของตัวบ้าน ทั้งนี้เพราะกังวลว่าจะมีโจรขโมยขึ้นบ้านมาลักเอาทรัพย์สินไป
โสภีกลัวเทคโนโลยีและโลกภายนอกมากกว่ากลัวโรคภัย เพราะมันคือโลกที่เธอไม่คุ้นชิน และไม่มีใครอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น หรืออยู่เคียงข้างคอยปลอบประโลมอีกแล้ว การกระทำที่ดูเหมือนดื้อรั้นไร้สติของคนแก่ในสายตาเรา แท้จริงแล้วอาจเป็นเพราะเขา “ไม่เข้าใจ” จนเกิดเป็นความกลัว และส่งผลให้แสดงออกไปอย่างนั้น
ในขณะที่คนรุ่นใหม่ “ถ่าย–อัป–แชร์” เหตุการณ์ผ่าน smartphone ได้ภายในไม่กี่วินาที แต่ผู้สูงอายุหลายคนกลับรู้สึกปลอดภัยกับ “เครื่องส่งสัญญาณช่วยชีวิต” ที่ต้องกดปุ่มจริงๆ ด้วยปลายนิ้วมากกว่า เพราะมันง่าย ไม่ซับซ้อน และจับต้องได้จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีศักยภาพที่จะเรียนรู้ หรือปรับตัวเข้ากับยุคสมัย คนแก่เพียงแค่ต้องการพื้นที่ที่โอบรับเขา อยู่เคียงข้างเขา และพร้อมจะสอนให้เขาเรียนรู้อย่างใจเย็น เพื่อให้เขาสบายใจที่จะใช้ชีวิตในสังคมนี้ต่อไปได้อย่างเป็นปกติสุข และไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังกับ digital isolation หรือความแปลกแยกเปลี่ยวเหงาในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็วเกินไป
โลกที่หมุนเร็วเกินไปสำหรับคนแก่ ไม่ได้ทำให้เขาตายเพราะโรคภัยไข้เจ็บ แต่ทำให้เขาตายเพราะ “ไม่มีที่ให้ยืน”
ท้ายที่สุดแล้ว ฒ ผู้เฒ่า ไม่ได้พูดถึงความตาย หรือความชราของคนคนหนึ่ง แต่มันพูดถึงสังคมที่กำลัง “แก่” ลงทั้งระบบ ตั้งแต่ร่างกาย สัมพันธภาพ ไปจนถึงหัวใจของผู้คน ผู้สูงอายุในเรื่องนี้ไม่ต่างจากพวกเราในอนาคต คนที่ชีวิตเคยเต็มไปด้วยบทสนทนา แต่วันหนึ่งกลับเหลือได้ยินเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติจากปลายสายที่ไม่มีใครอยู่จริงหลังโทรศัพท์ ผู้สูงอายุไม่ได้กลัวการแก่ ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวว่าจะไม่มีใคร “ได้ยิน” เสียงของเขาอีกแล้ว ความหวังที่พวกเขามี แท้จริงแล้วจึงไม่ใช่เพื่อรอให้ใครมาช่วย แต่หวังว่าจะมีคนรับฟังเขาอีกครั้ง
รับฟังด้วยใจที่ไม่ด่วนตัดสิน ไม่เร่งเร้าตัดรำคาญ และไม่กลบความเงียบด้วยเสียงของตัวเอง
“แสงสุดท้ายของความหวัง” อาจไม่ใช่แสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะดับไปอีกวัน โดยไม่รู้ว่าจะสว่างขึ้นมาอีกไหม แต่คือแสงเล็กๆ จากหัวใจของคนที่ยังหวังว่า ความเข้าใจจะกลับมาได้อีกครั้ง เพราะในวันหนึ่งเมื่อเราชราตัวไปแล้ว และกลายเป็น “ผู้เฒ่า” เสียเอง เราก็คงไม่ได้รอเห็นแสงจากฟ้าใหม่ หากแต่รอเพียงเสียงจากปลายสายจากคนที่รักสักคนที่จะบอกกับเราว่า ยังมีใครอยู่ตรงนี้กับเรา
อย่าปล่อยให้คำแสดงความห่วงใยง่ายๆ อย่าง “ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะคะ” ครั้งเดียวที่คนแก่ในบ้านได้ยิน มาจากเสียงตามสคริปต์ของคอลเซ็นเตอร์ธนาคารหรือค่ายมือถือเลย
รับชมภาพยนตร์สั้นเรื่อง ฒ ผู้เฒ่า (The Last Light) ได้แล้ววันนี้ ทาง VIPA ดูฟรี ไม่มีโฆษณา
คลิก ▶️ https://vipa.me/th/watch/14432
แหล่งอ้างอิง
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)