อ่านแล้ว 0
“ถ้าชูการ์ไปไม่ได้ ผมก็จะไม่ไป ไม่ต้องคิดเลย มันคือครอบครัว และผมไม่มีวันทิ้งครอบครัวไป”
ประโยคที่ชายคนหนึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ “ชูการ์” สุนัขสัตว์เลี้ยง สะท้อนถึงพันธะที่เป็นมากกว่าเพียงสิ่งมีชีวิตร่วมชายคา หากทว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจแยกจากกันไปได้
ชาวยูเครนจำนวนมากก็คงคิดแบบนี้ จนก่อให้เกิดเป็นภาพของการหิ้ว-ลาก-อุ้ม-จูงเหล่าสัตว์เลี้ยงไปด้วยขณะอพยพจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมีอภิสิทธิ์ เวลา หรือแม้กระทั่งสติในการขนย้ายสัตว์ในเวลาคับขันที่ระเบิดอาจกำลังจะห่ามถล่มเข้าในไม่อีกกี่นาที ซ้ำร้าย การจะกลับไปพาสัตว์เหล่านั้นกับมาด้วยก็ยิ่งยากเสียยิ่งกว่า เพราะพื้นที่ถูกปิดล้อม หรือกลายเป็นเขตแดนกระสุนจริงไปแล้ว
ฉากหนึ่งจากสารคดี “Us, Our Pets, and the War” นี้ ไม่ได้สะท้อนเพียงความโหดร้ายของสงครามที่มีต่อมนุษย์ แต่มันกำลังฉายสปอตไลต์ไปที่มุมมืดที่มักถูกมองข้าม นั่นคือชะตากรรมของ “สิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้ก่อสงคราม” แต่กลับต้องรับเคราะห์กรรมที่หนักหนาสาหัสที่สุด
ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน ณ ชายแดนตะวันออกของประเทศไทย เสียงการรบเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ความตึงเครียดตามแนวพรมแดนไทย-กัมพูชาที่ดูเหมือนจะสงบไปแล้ว จู่ๆ ก็กลับมา “ร้อนระอุ” ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ข่าวการยึดพื้นที่ เสียงปืนใหญ่ การสู้รบ และการเสริมกำลังทหาร กลายเป็นบทสนทนาที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับชาวบ้านในพื้นที่
ทว่าท่ามกลางความโกลาหลของมนุษย์ มีแววตาอีกหลายคู่ที่กำลังมองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความไม่เข้าใจ แววตาของสุนัขที่หมอบตัวสั่นงันงกอยู่ใต้ถุนบ้านเพราะเสียงดังจากฟ้านั่น ที่ไม่รู้ว่าจะได้กินอาหารอีกครั้งเมื่อไหร่ แววตาของวัวควายที่ยืนเคี้ยวเอื้องอยู่ในคอก โดยไม่รู้เลยว่าทุ่งหญ้าที่พวกมันเดินย่ำอยู่ทุกวัน อาจกลายเป็นทุ่งสังหารในชั่วข้ามคืน
ในทางรัฐศาสตร์ มีทฤษฎีคลาสสิกบทหนึ่งที่เรียกว่า “สงครามเบี่ยงเบนความสนใจ” (Diversionary War Theory) ซึ่งอธิบายปรากฏการณ์ที่ผู้นำรัฐมักจะสร้าง “ศัตรูภายนอก” ขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อน “ปัญหาภายใน” ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าตั้งคำถาม ว่าทำไมไฟความขัดแย้งมักจะถูกจุดติดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะเสมอ? เมื่อกระแสน้ำท่วมภาคใต้เริ่มพัดพาคะแนนนิยมของรัฐบาลให้จมหาย เมื่อเศรษฐกิจซบเซาจนประชาชนเริ่มส่งเสียงด่าทอ หรือเมื่อพรรคการเมืองใหญ่ต้องการเรียกศรัทธาคืนจากฐานเสียงชาตินิยม น่าแปลกที่จู่ๆ เส้นพรมแดนที่เคยเงียบสงบ ก็มักจะมีประเด็นพิพาทผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
มีข้อสังเกตและทฤษฎีสมคบคิดมากมายที่กระซิบกันในวงสังคมว่า สงครามขนาดย่อมหรือการปะทะกันตามแนวชายแดนในยุคสมัยใหม่ อาจเป็นเพียง “Proxy War” (สงครามตัวแทน) หรือร้ายกว่านั้น คือเป็น “ละครฉากใหญ่” ที่ชนชั้นนำ (Elites) ของทั้งสองประเทศตกลงกัน “เล่น” หลังฉาก เพื่อกระชับอำนาจ เรียกงบประมาณกองทัพ หรือรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของตนเอง
หากสมมติฐานนี้เป็นจริง นี่คือละครที่อำมหิตที่สุด เพราะในขณะที่ผู้กำกับละครนั่งจิบไวน์มองดูเรตติ้งที่พุ่งขึ้น “ตัวประกอบ” ที่อยู่หน้าฉาก กลับต้องจ่ายค่าตั๋วเข้าชมด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
มนุษย์เราอาจยังพอทนไหว เรามีข่าววงใน มีสมาร์ตโฟนไว้เช็กสถานการณ์ มีรถกระบะขนข้าวของหนีตาย หรืออย่างน้อยก็มีญาติพี่น้องต่างจังหวัดให้ไปพักพิง แต่สำหรับ “พวกเขา” สมาชิกสี่ขาที่เฝ้าบ้านคลานสวน พวกเขามิอาจมีสิทธิ์รู้บทละครล่วงหน้า และไม่มีที่ให้หนีไปไหน
สารคดี Us, Our Pets, and the War ได้มอบบทเรียนราคาแพงจากยูเครนให้เราเห็นว่า ในภาวะสงคราม สัตว์เลี้ยงกว่า 1 ใน 3 ในพื้นที่ขัดแย้งต้องถูกทอดทิ้ง หรือคิดเป็นจำนวนกว่าหลายล้านตัว ซึ่งไม่ใช่เพราะเจ้าของไม่รัก แต่เพราะในสมการของการเอาตัวรอด “ชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์” มักถูกตัดทิ้งเป็นสิ่งแรกเสมอ
กฎระเบียบการข้ามแดนที่ยุ่งยาก รถอพยพที่เต็มเอียด และคำสั่งห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าหลุมหลบภัย ทำให้เจ้าของจำนวนมากต้องจำใจปล่อยมือจากสายจูงทั้งน้ำตา ปล่อยให้เพื่อนรักของพวกเขาเผชิญชะตากรรมตามยถากรรมท่ามกลางดงกระสุน
หันกลับมามองที่ชายแดนไทย ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ หรือสระแก้ว วิถีชีวิตของชาวบ้านผูกพันกับสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์อย่างแยกไม่ออก วัวและควายไม่ใช่แค่สัตว์เศรษฐกิจ แต่มันคือ “กระปุกออมสินที่มีลมหายใจ” เป็นหลักประกันชีวิตก้อนสุดท้ายของเกษตรกรในหลายครัวเรือน ส่วนสุนัขและแมวคือสมาชิกในครอบครัวที่คอยเยียวยาจิตใจในยามยากลำบาก
คำถามที่อยากชวนให้สังคมและภาครัฐขบคิดคือ “แผนเผชิญวิกฤตของไทย เคยมีบรรทัดไหนเขียนถึงชีวิตเหล่านี้บ้างไหม?”
เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น รถบรรทุกทหารจะมารับคนแก่และเด็กไปก่อน แต่ใครจะรับผิดชอบชีวิตที่เหลือ เรามีแผนอพยพปศุสัตว์ไหม หรือต้องปล่อยให้พวกมันยืนงงในคอก รอให้ระเบิดมาลง เรามีศูนย์พักพิงสัตว์ชั่วคราวไหม หรือหมาแมวที่เคยมีเจ้าของต้องกลายเป็นหมาแมวที่อดตายในบ้าน
หากนี่คือสงครามปาหี่ของชนชั้นนำจริง ความเจ็บปวดของการสูญเสียทรัพย์สินมีค่าที่สุดของคนเหล่านี้ รัฐบาลจะรับผิดชอบได้หรือ?
นอกจากความเสี่ยงทางกายภาพ สิ่งที่น่ากลัวกว่าสำหรับสัตว์คือ “เสียง” สัตว์มีประสาทสัมผัสการได้ยินไวกว่ามนุษย์หลายเท่า เสียงปืนใหญ่ที่ยิงขู่กันไปมา (Sonic Boom) หรือเสียงระเบิดกึกก้อง สำหรับมนุษย์มันอาจสร้างความรำคาญหรือความหวาดกลัว แต่สำหรับสัตว์ มันคือความทรมานระดับวิกฤต
ข้อมูลจากสัตวแพทย์ในพื้นที่สงครามระบุว่า สัตว์จำนวนมากไม่ได้ตายเพราะถูกสะเก็ดระเบิด แต่ตายเพราะ “หัวใจวายเฉียบพลัน” (Heart Failure) จากความเครียดและเสียงดัง หรือเกิดภาวะ PTSD จนตรอมใจ ไม่กินอาหาร ก้าวร้าว หรือซึมเศร้าจนตายในที่สุด
ลองจินตนาการภาพ “โอเลี้ยง” หมาบางแก้วที่เคยนอนเฝ้าหน้าบ้านอย่างสงบ วันหนึ่งเสียงตูมตามดังสนั่น มันตกใจสุดขีดจนวิ่งเตลิดหายเข้าไปในป่าที่เต็มไปด้วยกับระเบิดสังหารที่มนุษย์จงใจฝังไว้และยังเก็บกู้ไม่หมด หรือภาพ “วัวแม่ลูกอ่อน” ที่ถูกล่ามเชือกไว้ในคอก เจ้าของหนีตายไปแล้ว มันทำได้เพียงดิ้นรนจนเชือกบาดคอ ส่งเสียงร้องมอๆ แข่งกับเสียงไซเรน รอคอยความตายอย่างโดดเดี่ยว
นี่คือ Collateral Damage หรือความเสียหายข้างเคียง ที่ไม่เคยถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์สงครามเล่มไหน
สงคราม ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริง หรือเป็นเพียงละครตบตาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเกิดจากอุดมการณ์อันสูงส่ง หรือตัณหาทางอำนาจอันต่ำตม สิ่งหนึ่งที่จริงแท้เสมอคือ “ความสูญเสีย”
ความสูญเสียที่ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกเชื้อชาติ และไม่เลือกสปีชีส์
สัตว์เลี้ยงไม่รู้จักพรมแดน ไม่รู้จักพื้นที่ทับซ้อน และไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ที่อยู่คนละฝั่งเส้นสมมตินั้นต้องเกลียดกัน สิ่งเดียวที่พวกมันรู้ คือเจ้าของคือโลกทั้งใบของมัน และเมื่อโลกใบนั้นพังทลายลง เมื่อมนุษย์เริ่มเล่นเกมอำนาจโดยไม่สนใจชีวิตเล็กๆ พวกมันก็ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกเลย
ในขณะที่ชนชั้นนำอาจกำลังชนแก้วไวน์ฉลองความสำเร็จของแผนการอยู่หลังฉาก หรือนักการเมืองอาจกำลังยิ้มร่ากับคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้น พึงสังวรไว้ว่า ในมุมมืดของชายแดน มีหัวใจดวงเล็กๆ หลายดวงกำลังหยุดเต้นลง เพราะเกมที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ ไม่รู้กติกา แต่จำเป็นต้องร่วมเล่น
บางที การวัดความศิวิไลซ์ของประเทศ อาจไม่ได้ดูที่ว่าเรามีอาวุธทันสมัยแค่ไหน หรือมี GDP เติบโตเท่าไหร่ แต่ดูที่ว่า ในยามวิกฤต เราปฏิบัติต่อชีวิตที่อ่อนแอที่สุดและไม่มีทางสู้อย่างไรต่างหาก
หยุดใช้สงครามเป็นเครื่องมือ และมองเห็นคุณค่าของทุกลมหายใจที่ต้องรับเคราะห์กรรมเสียที.
ร่วมสำรวจผลกระทบของสงครามผ่านดวงตาคู่เล็กๆ ที่สะท้อนความเจ็บปวดได้ชัดเจนที่สุด ในสารคดี “Us, Our Pets, and the War” รับชมได้แล้ววันนี้ ทาง VIPA
คลิก ▶️ https://vipa.me/th/contents/14346/us-our-pets-and-the-war
แหล่งอ้างอิง
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)