อ่านแล้ว 0
ในสังคมญี่ปุ่นมีคำว่า 蒸発 (Johatsu - โจฮัตสึ) แปลตรงตัวว่า ‘ระเหย’ หรือ ‘หายไป’ ทว่าคำนี้ไม่ได้ใช้กับของเหลวหรือไอน้ำ หากแต่ถูกใช้เรียก ‘ผู้คน’ ที่เลือกจะยุติชีวิตเดิมที่มีอยู่ ลาออกจากงาน หนีจากครอบครัว ละทิ้งชื่อเสียง และลบล้างร่องรอยเดิมของตนทั้งหมด เพื่อ ‘หายตัวอย่างจงใจ’ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งใดสักแห่ง ด้วยความหวังว่าจะไม่มีใครตามหาตนพบอีกเลยตลอดกาล
หากมองด้วยสายตาที่โรแมนติก การตัดสินใจนี้อาจดูน่าหลงใหลดีสำหรับคนที่รู้สึกอึดอัดกับโลกใบเดิมจนเกินทน แต่ในความเป็นจริง คนญี่ปุ่นที่หายตัวไม่ได้ทำไปด้วยความฝันเฟื่อง ทว่าเพราะถูกบีบคั้นให้เลือกหนทางนี้ซึ่งพวกเขามองว่ายังดีกว่าการเลือกความตาย และดีกว่าการต้องฝืนเผชิญหน้ากับกองปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้ ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากคนรอบข้างและสังคม
ภาพจากสารคดี Johatsu: Into Thin Air
ภาพจากสารคดี Johatsu: Into Thin Air
คำว่า โจฮัตสึ เริ่มเป็นที่พูดถึงในญี่ปุ่นราวทศวรรษ 1960 โดยแรกเริ่มหมายถึงคนที่หนีจากชีวิตสมรสอันล้มเหลว ก่อนจะกลายมาเป็นคำเรียกปรากฏการณ์ทางสังคมวงกว้างในช่วงทศวรรษ 1990 เมื่อญี่ปุ่นเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยและคนตกงานจำนวนมากตัดสินใจหายตัวไป ทั้งเพื่อหนีหนี้สิน หนีภาระที่แบกรับต่อไม่ไหว หรือต้องการหนีจากความรู้สึกล้มเหลวที่คนอื่นประทับตราให้ มีการประเมินตัวเลขว่าแต่ละปีญี่ปุ่นมีคนสูญหายถึง 80,000 คน (แม้ส่วนใหญ่จะถูกตามตัวเจอและยินยอมกลับบ้าน แต่ก็ยังมีอีกหลายพันที่ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย) ตัวเลขนี้สะท้อนถึงสภาวะความเครียดรุนแรงและการขาดโครงข่ายทางสังคมที่คอยพยุงชีวิตในสังคมญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าทึ่งยิ่งกว่าตัวเลข ก็คือการที่คนเหล่านี้สามารถหายตัวไปได้อย่างไร้ร่องรอย ซึ่งไม่ใช่เพราะพวกเขาวางแผนอย่างเชี่ยวชาญเก่งกาจหรือมีวิชาหายตัวแบบนินจา แต่เป็นเพราะในญี่ปุ่นมีธุรกิจที่รองรับปรากฏการณ์นี้โดยเฉพาะ ! มันถูกเรียกว่า yonige-ya หรือ ‘บริษัทช่วยหนีตอนกลางคืน’ ซึ่งให้บริการรับจัดการทุกอย่างแก่คนที่อยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบหมดจด ตั้งแต่การขนย้ายของหนีออกจากบ้านโดยไม่ให้ใครรู้ การหาห้องเช่าราคาถูก การช่วยเปลี่ยนชื่อ การหางานรายวัน ไปจนถึงการหลีกเลี่ยงการใช้เอกสารราชการเพื่อไม่ให้มีร่องรอยใด ๆ จนแม้แต่คนในครอบครัวเองก็ยากจะตามหาเจอ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ถูกนำเสนอในสารคดีเรื่อง Johatsu: Into Thin Air (2023) โดย อันเดรียส ฮาร์ตมันน์ ผู้กำกับชาวเยอรมัน และ อาราตะ โมริ ผู้กำกับร่วม ซึ่งใช้เวลากว่า 3 ปีในการค้นคว้าข้อมูลและคลุกคลีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ทั้งเจ้าของบริษัทช่วยหนี ผู้คนที่เลือกจะหายตัว และสมาชิกครอบครัวที่ยังคงเฝ้ารอให้พวกเขากลับบ้าน การที่สารคดีพาไปรับฟังเรื่องราวอย่างรอบด้านช่วยให้เราเข้าใจได้ชัดขึ้นถึงสภาพของสังคมที่มีแรงกดดันมหาศาล ซึ่งผลักให้ผู้คนจำนวนหนึ่งต้องร่วงหล่นหายไปในความเงียบและความโดดเดี่ยว
ภาพจากสารคดี Johatsu: Into Thin Air
ภาพจากสารคดี Johatsu: Into Thin Air
ฮาร์ตมันน์ให้สัมภาษณ์ว่า หนึ่งในความท้าทายที่สุดของการทำสารคดีเช่นนี้คือ การต้องพยายามรักษา ‘จริยธรรมของหนังสารคดี’ ไว้ให้ได้ เขาและโมริต้องค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองเพื่อจะได้รับความไว้วางใจจากซับเจ็กต์จนยอมให้ติดตามถ่ายทำ คนหายบางคนยอมเปิดเผยใบหน้าในหนังเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ ซึ่งก็แลกมากับการที่ทีมงานต้องช่วยปกปิดสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขาอย่างเคร่งครัด เพราะสิทธิส่วนตัวและความปลอดภัยของพวกเขาถือเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด
สำหรับผู้ที่ได้ชม Johatsu: Into Thin Air ทาง VIPA แล้ว จะพบว่าหลายช่วงในหนังใช้วิธีเคลื่อนกล้องอย่างเนิบช้า, ถ่ายเทคยาว, ถ่ายซับเจ็กต์ในระยะไกล และถ่ายในที่มืด ซึ่งทั้งหมดเป็นความจงใจที่จะให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความเงียบงันและเปลี่ยวเหงาของเมืองใหญ่ ในประเด็นนี้ หนังยังบอกเล่าผ่านเรื่องราวของคนหายคนหนึ่งที่ไปเป็นแรงงานรับจ้างและอาศัยอยู่กลางชุมชนนิชินาริในโอซากา ซึ่งมักถูกกล่าวถึงในฐานะย่านเสื่อมโทรมและแหล่งรวมคนยากจนไร้บ้านที่นักท่องเที่ยวอาจหวาดกลัว แต่หนังกลับเปิดเผยให้เราเห็นอีกแง่มุมว่า ที่นี่คือแหล่งพักชีวิตและพักใจของผู้คนมากมาย ซึ่งไม่ว่าจะหนีใครมาจากไหนก็ยังล้วนโหยหา ‘บ้าน’ ที่พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ได้อย่างสงบใจ ไม่ต้องหวาดระแวงสายตาพิพากษาจากใครอีก
ท้ายที่สุด Johatsu: Into Thin Air จึงไม่ได้เล่าแค่เรื่องของการหนีหรือคนหาย แต่สารคดีต้องการให้เราเกิดความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ในมิติที่ครอบคลุมขึ้น การหายตัวของใครบางคนอาจไม่ใช่การแสดงออกถึงความอ่อนแอแพ้พ่าย แต่มันอาจเป็นการแสดงออกถึงการไม่ปรารถนาจะอยู่ในระบบอันโหดร้ายที่พยายามทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอีกต่อไปแล้วต่างหาก
ภาพจากสารคดี Johatsu: Into Thin Air
Johatsu: Into Thin Air
▶ ติดตามสารคดี Johatsu: Into Thin Air สารคดีสำรวจปรากฏการณ์ “การหายสาบสูญโดยเจตนา” ในญี่ปุ่น เมื่อผู้สิ้นหวังเลือกตัดขาดจากอดีตด้วยความช่วยเหลือของบริษัทจัดฉากการหายตัว เล่าเรื่องทั้งความสับสนในใจผู้จากไป และความเจ็บปวดของคนที่ยังอยู่ พร้อมความพยายามจะเยียวยาและปรองดองกันอีกครั้ง
รับชมได้ทาง www.VIPA.me และ VIPA Application
ผู้ก่อตั้ง Documentary Club คลับของคนรักสารคดี และหนังนอกกระแส