อ่านแล้ว 0
“ในห้องที่ปิดตาย มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อประตูบานนั้นปิดลง ความจริงก็จะถูกขังอยู่ในนั้นตลอดกาล เปรียบเสมือนกล่องดำที่ไม่มีวันเปิดออก”
ถ้อยคำของนายตำรวจเจ้าของคดี เปรียบเปรยสถานการณ์คืนนั้นให้ ชิโอริ อิโตะ (Shiori Ito) ฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มันกลับกรีดลึกลงไปในใจของหญิงสาววัย 25 ปีในขณะนั้น จนเป็นแผลเหวอะไร้ชิ้นดี
เธอตื่นขึ้นมาในโรงแรมด้วยความทรงจำที่ขาดวิ่น ร่างกายบอบช้ำ กับความรู้สึกเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำร้ายเธอยิ่งกว่าการถูกล่วงละเมิดทางกาย คือการที่ “ระบบยุติธรรม” และ “สังคม” พยายามจะบอกให้เธอลืม พยายามกล่อมเกลาให้เธอเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความอับอายที่ต้องซุกซ่อนไว้ใต้พรม และกล้ำกลืนฝืนทนมันไปเสีย
สารคดี Black Box Diaries บน VIPA ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่บันทึกเรื่องราวของคดีข่มขืนคดีหนึ่ง หากแต่คือบันทึกสงครามระหว่าง “ความจริงของคนตัวเล็ก” กับ “อำนาจของโครงสร้าง” ที่พยายามปิดฝากล่องดำใบนั้นให้สนิทที่สุด และเมื่อไม่มีใครยอมไขกุญแจ ชิโอริจึงตัดสินใจใช้สิ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ นั่นคือ “เสียง” และ “กล้องวิดีโอ” ของเธอเอง เพื่อทุบทำลายกล่องดำใบนั้นออกมา
ญี่ปุ่นมักภูมิใจในภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศที่ปลอดภัย มีระเบียบวินัยสูง และมีอัตราอาชญากรรมต่ำ แต่ภายใต้ตัวเลขที่สวยหรูบนหน้ากระดาษ กลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกลิ่นเน่าของ “อาชญากรรมที่ถูกทำให้มองไม่เห็น”
สถิติจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น (Cabinet Office Survey 2020) เผยให้เห็นถึงข้อเท็จจริงอันน่าตกใจอย่างยิ่งยวด นั่นคือ ผู้หญิงญี่ปุ่นถึง 1 ใน 14 คน เคยมีประสบการณ์ถูกบังคับขืนใจ (Forced Sexual Intercourse) โดยไม่ยินยอม และหากนับรวมการล่วงละเมิดรูปแบบอื่น ตัวเลขนี้จะพุ่งสูงขึ้นไปอีกมหาศาล ทว่าภายใต้จำนวนผู้เสียหายที่มากมายขนาดนั้น กลับมีเสียงที่กล้าเข้าแจ้งความกับตำรวจเพียง 5-10% เท่านั้น (และในบางปีสถิติต่ำเตี้ยลงไปถึง 4%)
คำถามคือ ทำไมอีกกว่า 90% ถึงเลือกที่จะเงียบ?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ความขี้ขลาด แต่อยู่ที่วัฒนธรรมความอับอาย (Haji) และการ “โทษเหยื่อ” (Victim Blaming) ที่ฝังรากลึกในสังคมญี่ปุ่น (และสังคมเอเชีย) ที่มักสอนให้ผู้หญิง “รักนวลสงวนตัว” และเมื่อเกิดเหตุร้าย คำถามแรกที่พุ่งเข้าหาเหยื่อไม่ใช่ “ใครทำร้ายเธอ?” แต่กลับเป็น “เธอแต่งตัวยังไง?”, “เธอไปดื่มกับเขาทำไม?” หรือ “ทำไมเธอไม่ระวังตัว?”
ชิโอริ อิโตะ ต้องเผชิญกับพายุแห่งการตีตรานี้อย่างหนักหน่วง เพียงเพราะเธอไม่ใช่ “เหยื่อที่สมบูรณ์แบบ” (The Perfect Victim) ในอุดมคติของสังคมญี่ปุ่น เธอเป็นสาวลูกครึ่ง เธอสวย เธอแต่งตัวดี เธอยิ้มแย้ม และเธอมีความทะเยอทะยานในหน้าที่การงาน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นข้อหาที่สังคมใช้ตัดสินว่า “เธอไม่น่าสงสาร” และ “เธอนั่นแหละที่เป็นคนยั่วยวน”
ในวัฒนธรรมที่ความเงียบคือดอกพิกุลทอง การพูดความจริงของชิโอริจึงไม่ใช่แค่การเรียกร้องสิทธิ์ แต่คือการกบฏต่อจารีตที่กดทับผู้หญิงมาหลายชั่วอายุคน
การต่อสู้ของชิโอริ เปรียบเสมือนตำนาน David vs Goliath ยุคใหม่ เมื่อคู่กรณีของเธอไม่ใช่แค่ลุงชาวบ้านที่ไหนไม่รู้ แต่คือ โนริยูกิ ยามากุจิ (Noriyuki Yamaguchi) สื่อมวลชนอาวุโสที่มีอิทธิพลล้นฟ้า และเป็นถึงเพื่อนสนิทที่เขียนชีวประวัติให้ นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ
ความสิ้นหวังกัดกินใจที่สุด ไม่ใช่ตอนที่เธอถูกปฏิเสธ แต่คือตอนที่เธอมีความหวังว่า “หมายจับ” กำลังจะออก แต่จู่ๆ ก็มี “สายโทรศัพท์ปริศนาจากเบื้องบน” สั่งระงับการจับกุมยามากุจิกลางสนามบิน ทั้งที่ตำรวจชุดสืบสวนไปยืนรอเตรียมใส่กุญแจมือแล้ว
ฉากนี้ในสารคดีสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า Black Box ไม่ได้มีแค่ในห้องโรงแรม แต่มันคือ “Black Box ของกระบวนการยุติธรรม” ที่มืดบอด ซ่อนเร้น และเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง
ยิ่งไปกว่านั้น ชิโอริยังต้องสู้กับศัตรูที่ไม่มีชีวิตแต่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “กฎหมายอาญา” ของญี่ปุ่น ที่ล้าหลังและแทบไม่มีการแก้ไขเนื้อหาสำคัญมาตั้งแต่ปี 1907 หรือกว่า 110 ปีที่แล้ว ยุคสมัยที่ผู้หญิงยังไม่มีแม้แต่สิทธิเลือกตั้งด้วยซ้ำ กฎหมายร้อยปีฉบับนี้ระบุว่า การจะเอาผิดฐานข่มขืนได้ ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ามี “การทำร้ายร่างกายหรือข่มขู่” (Assault or Intimidation) เกิดขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่า หากเหยื่อถูกมอมยาจนไร้สติ หรือร่างกายเกิดปฏิกิริยา Freezing Response (ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว) จนไม่สามารถขัดขืนได้ กฎหมายนี้จะไม่ถือว่านั่นคือ “อาชญากรรม”
ระบบไม่ได้บกพร่องโดยบังเอิญ แต่ถูกออกแบบมาเพื่อผลักภาระการพิสูจน์ไปที่เหยื่อ ให้ต้องตอบคำถามซ้ำๆ ว่า “ทำไมคุณถึงไม่สู้ให้มากกว่านี้?” ทั้งที่ร่างกายและจิตวิญญาณของเธอแหลกสลายไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้ Black Box Diaries ทรงพลัง ไม่ใช่เพียงฟุตเทจการสืบสวนที่ดุเดือดราวหนัง Thriller แต่คือความเปราะบางของความเป็นมนุษย์ที่ชิโอริกล้าเปิดเปลือยให้เราเห็น ในรูปแบบ Video Diary ที่เธอถ่ายทอดให้ได้รับชม เราได้เห็นชิโอริในวันที่ไม่ใช่ฮีโร่ แต่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ร้องไห้จนตัวโยน วันที่เธอเกลียดตัวเอง วันที่เธอพยายามจะจบชีวิตตัวเองลง (Suicide Attempt) เพราะแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหว
ราคาที่ต้องจ่ายของการพูดความจริงนั้นแพงระยับ น้องสาวแท้ๆ ขอร้องให้เธอหยุดพูด เพราะไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อน พ่อแม่ต้องแบกรับแรงกดดันจากสังคม และตัวเธอเองต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เพราะทนกระแสความเกลียดชังและการขู่ฆ่าในบ้านเกิดไม่ไหว
แต่ในความเปราะบางนั้นเอง เรากลับได้เห็นความเข้มแข็งที่แท้จริง ชิโอริเลือกที่จะถือกล้องถ่ายตัวเอง แม้ในวันที่มือสั่นเทาที่สุด เพื่อยืนยันว่า ฉันยังมีตัวตน ฉันคือมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่แค่พาดหัวข่าวหรือเหยื่อที่ใครจะนิยามยังไงก็ได้ กล้องวิดีโอในมือเธอ จึงทำหน้าที่เป็นทั้งพยาน เป็นโล่กำบัง และเป็นเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ในวันที่โลกทั้งใบหันหลังให้
การเดินทางอันยาวนานและเจ็บปวดของชิโอริ ไม่ได้จบลงที่ความว่างเปล่า ชัยชนะในคดีแพ่งที่เธอได้รับ ไม่ใช่แค่ชัยชนะส่วนบุคคล แต่มันได้กลายเป็นแรงสั่นสะเทือนระดับ 9 ริกเตอร์ ที่พังทลายกฎหมายยุคโบราณของญี่ปุ่นลงมาได้สำเร็จ ในเดือนมิถุนายน ปี 2023 รัฐสภาญี่ปุ่นได้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญาเรื่องเพศครั้งประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น
ชัยชนะที่แลกมาด้วยหยดน้ำตาของชิโอริและผู้หญิงนับล้านนี้ ได้แปรเปลี่ยนกฎหมายไปเพียงไม่กี่มาตรา แต่ทว่ากลับมีความหมายมหาศาลต่อชีวิตของผู้คน มันคือการคืนสิทธิสตรี คืนความเป็นมนุษย์ และคืนความยุติธรรมให้กับเสียงที่เคยถูกกลืนหายไปในความเงียบ
กล่องดำแห่งความเงียบถูกเปิดออกแล้ว ไม่ใช่ด้วยกุญแจมหัศจรรย์ของอำนาจวิเศษ แต่ด้วย “เสียง” ของผู้หญิงคนหนึ่งที่แม้สั่นเครือ แต่จะไม่ยอมหยุดพูด การต่อสู้ของชิโอริ ชิโอริ ได้จุดกระแส MeToo ในญี่ปุ่น ก่อกำเนิดเป็นขบวนการ Flower Demo ที่ผู้หญิงญี่ปุ่นนับหมื่นใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ ออกมายืนถือดอกไม้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง เปลี่ยนจากคำว่า “ฉัน” (Me) เป็น “พวกเรา” (Us) และเปลี่ยนจากความอับอาย เป็นความกล้าหาญ
ในวันที่เรารู้สึกว่าโลกช่างไร้ความยุติธรรม หรือรู้สึกว่าเสียงของเราช่างเบาหวิวเหลือเกิน สารคดีเรื่องนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า แม้ความจริงอาจมาช้า และอาจต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงลิ่ว แต่ถ้าเราไม่หยุดส่งเสียงเรียกร้อง มันจะเดินทางมาถึงเสมอ เพราะความรุนแรงที่แท้จริง อาจไม่ได้จบลงเมื่อเหตุการณ์ล่วงละเมิดสิ้นสุด แต่มันเริ่มต้นขึ้นใหม่ ในนาทีที่สังคมบอกให้เหยื่อ “เงียบ” เพื่อรักษาหน้าตาของใครสักคน
และวันนี้ ชิโอริได้พิสูจน์แล้วว่า “ความเงียบ” ไม่ใช่ทางออก แต่ “ความจริง” ต่างหาก คือกุญแจดอกเดียว ที่จะไขพาไปสู่อิสรภาพ
ร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้เพื่อเปิดกล่องความจริง ในภาพยนตร์สารคดี “Black Box Diaries”
รับชมได้แล้ววันนี้ ทาง VIPA ▶️ https://vipa.me/th/contents/14679/black-box-diaries
แหล่งอ้างอิง
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)