อ่านแล้ว 0
“คุกมีไว้ขังคนจน”
คือประโยคคลาสสิกที่เราได้ยินเสมอมาจนชาชิน ราวกับว่าเป็นสัจธรรมที่ต้องยอมจำนนในสังคมไทย แต่เมื่อความจริงบางอย่างถูกเปิดเผยออกมา มันกลับตอกย้ำว่าประโยคนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเปรียบเปรย หากแต่มันคือ “ข้อเท็จจริง” ที่จับต้องได้ มีราคาค่างวด และที่แน่นอนยิ่งกว่า คือมีอภิสิทธิ์ชนที่จ่ายไหว
เมื่อเสียงประตูลูกกรงปิดลงกระแทกหน้า ก้องกังวานไปทั่วโถงทางเดินที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอับชื้น สำหรับคนธรรมดาที่กำลังสวมชุดสีลูกวัว เสียงนั้นคือจุดสิ้นสุดของอิสรภาพ แต่สำหรับใครบางคน นันอาจเป็นเพียงเสียงของการเปลี่ยนสถานที่พักผ่อน ที่ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิดมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อข่าวอื้อฉาวเรื่อง “คุก VIP” ปะทุขึ้นกลางหน้าสื่อสังคมไทย ภาพ (ตามรายงาน) ของห้องลับใต้บันได โซฟานุ่ม เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นที่อัดแน่นด้วยสุรา ไฟแช็กพร้อมยาสูบ และบริการพิเศษที่มีหญิงสาวถูกพาเข้า-ออกราวกับเป็นเรื่องปกติ ได้กระชากฉากภาพของ “พื้นที่ที่ถูกควบคุมเข้มงวดที่สุด” ให้ทึ้งขาดลงไปในบัดดล
สังคมไม่ได้เดือดดาลเพียงเพราะมันเป็นเรื่องคาวโลกีย์ แต่สังคมโกรธแค้น เพราะมันคือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ความยุติธรรมในประเทศนี้ ไม่เคยเป็นเส้นตรง
ในขณะที่โลกความจริงกำลังฉายภาพความเน่าเฟะของระบบราชทัณฑ์ ในโลกละคร ซีรีส์ อาชญาโกง 2 (Corrupted) บน VIPA ก็กำลังทำหน้าที่คู่ขนานกันอย่างน่าขนลุก เรื่องราวของ “หลิว” หญิงสาวที่พยายามขุดคุ้ยความจริงเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้พ่อ พร้อมกันกับที่ “ราเชน” เข้าไปเผชิญผลกรรมอยู่ในเรือนจำ ก็ยิ่งสะท้อนโครงสร้างที่บิดเบี้ยวซ้อนทับกันหลายชั้นจนแยกไม่ออกว่า ภาพไหนคือเรื่องแต่ง ภาพไหนคือเรื่องจริงกันแน่ เพราะไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ ภาพที่ปรากฏก็ดูแทบจะไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
หากเราลองกวาดสายตาดูตัวเลขทางสถิติ รายงานจากสมาพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) ระบุว่า เรือนจำในไทยกว่า 78% อยู่ในสถานะ “ล้นเกินความจุ” (Overcrowding) นั่นแปลความได้ว่า ในพื้นที่สี่เหลี่ยมคับแคบที่ออกแบบมาสำหรับคนจำนวนหนึ่ง กลับมีมนุษย์ถูกยัดเยียดเข้าไปนอนเบียดเสียดกันแบบไหล่ชนไหล่ หายใจรดต้นคอ หรือต้องนอนตะแคงตลอดคืนเพราะไม่มีแม้แต่พื้นที่ให้พลิกตัว อากาศร้อนอบอ้าวที่แทบไม่ระบาย กลิ่นเหงื่อไคลและสิ่งปฏิกูลคละคลุ้ง นี่คือ “นรกบนดิน” ที่ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ต้องเผชิญ
เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มประชากรคุก เราจะพบว่ากว่า 70% คือผู้ต้องขังคดียาเสพติด ซึ่งส่วนมากเป็นรายย่อย และเป็นคนยากจน เป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีต้นทุนทางสังคม ไม่มีเงินจ้างทนายเก่งๆ และไม่มีเส้นสายที่จะวิ่งเต้นให้พ้นจากตาราง
ทว่าในสถานที่เดียวกัน หลังกำแพงสูงตระหง่านเดียวกันนี้เอง กลับมี “โลกอีกใบ” ซ่อนอยู่
โลกที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ มีโทรศัพท์มือถือให้ติดต่อโลกภายนอก มีอาหารดีๆ และมีอิสระเหนือกฎเกณฑ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นพลานุภาพของ “เงินและอำนาจ” ที่สามารถบิดงอกรงเหล็ก ให้กลายเป็นม่านไหมกำมะหยี่ได้อย่างง่ายดาย
ธีมหลักของ อาชญาโกง 2 จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการไล่ล่าคนร้ายหรือไต่ถามความผิด แต่มันคือการตั้งคำถามต่อ “ระบบ” ว่าทำไมกฎหมายที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อควบคุมคนผิด กลับถูกคนผิดที่มีอำนาจ ใช้มันเป็นเครื่องมือในการฟอกขาวตัวเอง และกดขี่คนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กรณี “คุก VIP” หรือขบวนการ “ทุนจีนเทา” ที่สามารถซื้ออภิสิทธิ์ในคุกได้ ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่เลวๆ เพียงคนสองคน หรือผู้คุมที่เผลอใจรับสินบนชั่วครั้งชั่วคราว แต่มันคือ “Ecosystem” หรือระบบนิเวศของอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกในระบบยุติธรรมไทย มีรายงานด้านสิทธิมนุษยชนหลายฉบับที่ชี้ให้เห็นโครงสร้างปัญหาที่ซับซ้อนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น:
ในซีรีส์ อาชญาโกง เราได้เห็นภาพจำลองนี้อย่างชัดเจนขึ้นมาก ว่าองค์กรอาชญากรรมไม่ได้ทำงานโดดเดี่ยวและอยู่รอดได้ด้วยตัวมันเอง แต่เป็นผลมาจากการจับมือใต้โต๊ะกับเจ้าหน้าที่รัฐ มูลนิธิ หรือแม้แต่สถาบันทางศาสนา เพื่อสร้างฉากหน้าให้ดูขาวสะอาด ในขณะที่เบื้องหลังคือการเกื้อหนุนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ใครขวางทางก็ถูกกำจัด ใครให้ประโยชน์ก็ได้รับการดูแล
นี่คือโครงสร้างที่ทำให้ “ความดี” เป็นเรื่องยาก และ “ความเลว” เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและคุ้มค่ากว่าไปโดยปริยาย
ในทางอาชญาวิทยา (Criminology) มีแนวคิดที่น่าสนใจเสนอไว้ว่า “พื้นที่ปิด (Closed Institution) ทำให้ความจริงถูกกำหนดโดยผู้ที่ถือกุญแจ”
เรือนจำคือพื้นที่ที่สายตาของประชาชนส่องไปไม่ถึง กล้องวงจรปิดอาจ “เสีย” ในจังหวะสำคัญ เอกสารบันทึกอาจถูก “แก้ไข” ย้อนหลัง หรือพยานปากเอกอาจ “หายสาบสูญ” ไปดื้อๆ ครั้น “ชุดจู่โจม” จะลงไปตรวจสอบทีไร ก็พลอยมีพรายกระซิบบอกก่อนตลอด ระบบการตรวจสอบแบบ Closed-loop ที่หน่วยงานตรวจสอบกันเอง รายงานกันเอง และตัดสินโทษกันเองนี้เอง ที่ทำให้ “ความจริง” กลายเป็นสิ่งที่ถูกผลิตได้ตามออเดอร์ของผู้มีบารมี
ห้องลับใต้บันไดในข่าว อาจดำรงอยู่มานานเป็นปีๆ ได้โดยไม่มีใครรู้ ไม่ใช่เพราะมันซ่อนอยู่มิดชิด แต่เพราะระบบถูกออกแบบมาให้ “มองไม่เห็น” ในสิ่งที่ “ไม่อยากให้เห็น” เช่นเดียวกับเส้นทางการต่อสู้ของ “หลิว” ในซีรีส์ ทุกครั้งที่เธอเข้าใกล้ความจริง หลักฐานกลับเลือนหาย พยานกลับคำให้การ หรือถูกข่มขู่ มันสะท้อนให้เห็นว่า ในระบบที่มืดบอด แสงสว่างจากไม้ขีดไฟก้านเดียวของผู้หญิงตัวเล็กๆ ก็อาจไม่สว่างเพียงพอจะส่องให้เห็นถึงทางออก
เบื้องหลังเสียงครางเสียวของอภิสิทธิ์ชนบนเตียงนุ่ม คือเสียงร้องไห้ของคนตัวเล็กๆ ที่ถูกใช้เป็นเบี้ย
เรามักหลงลืม “ผู้เสียหาย” ที่ถูกลากเข้ามาในวงจรนี้
คนเหล่านี้คือ Collateral Damage หรือความเสียหายข้างเคียงที่ระบบไม่เคยแยแส พวกเขาคือ “ค่าผ่านทาง” ที่ต้องจ่าย เพื่อให้รถด่วนขบวน VIP วิ่งผ่านไปได้อย่างสะดวกราบรื่น
แล้วสุดท้ายแล้ว “เราขังคนไปเพื่ออะไร?”
หากเราเชื่อว่าเรือนจำคือสถานที่ดัดนิสัย หรือฟื้นฟูสมรรถภาพผู้กระทำผิด (Rehabilitation) ข้อมูลจากข่าวและงานวิจัยกลับตบหน้าเราฉาดใหญ่ เพราะด้วยสภาพ “คุกล้นคน” ทรัพยากรทั้งหมดจึงถูกทุ่มไปกับการ “ขัง” และ “ควบคุม” ไม่ให้คนล้นออกมา มากกว่าจะไปโฟกัสเรื่องการ “ซ่อมแซม” จิตใจหรือพัฒนาทักษะอาชีพ
หลักสูตรฝึกอาชีพที่ล้าหลัง การตีตราทางสังคม และการไม่มีระบบติดตามช่วยเหลือหลังปล่อยตัว (Aftercare) ทำให้ผู้พ้นโทษจำนวนมาก เดินออกจากคุกด้วยสภาพที่ “แย่กว่า” ตอนเดินเข้าไป ไร้เงิน ไร้บ้าน ไร้อนาคต และสุดท้ายก็ต้องวนกลับเข้าสู่วงจรอาชญากรรมซ้ำเดิม
ลองมองไปยังประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย อย่างนอร์เวย์ หรือสวีเดน พวกเขายึดถือปรัชญาที่ว่า “โทษของนักโทษคือการถูกจำกัดอิสระ ไม่ใช่การถูกทำลายศักดิ์ศรี” ในประเทศโลกที่หนึ่งเหล่านี้ ผู้คุมถูกฝึกมาให้เป็นเสมือน “นักสังคมสงเคราะห์” ทำงานร่วมกับนักจิตวิทยา เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ต้องขังกลับสู่สังคม ห้องขังจึงมีสภาพเหมือนห้องพักปกติ เพื่อให้พวกเขายังคงรู้สึกถึงความเป็น “มนุษย์” และเมื่อความเป็นมนุษย์ไม่ถูกทำลาย พวกเขาจึงมีแนวโน้มที่จะกลับตัวได้จริง สถิติการกระทำผิดซ้ำในกลุ่มประเทศเหล่านี้น้อยที่สุดในโลก ไม่ใช่เพราะคุกสบาย แต่เพราะระบบ “เห็นค่าของคน” และไม่ลักลั่นด้วยการเอื้อเฟื้อพวกพ้อง หรือรองมือรองเท้ารับผลประโยชน์อื่นใด
ย้อนกลับมาที่ไทย เมื่อจุดเริ่มต้นของระบบคือการลดทอนความเป็นมนุษย์ แบ่งชนชั้น และเปิดช่องให้คนรวยมีอภิสิทธิ์เหนือคนจน แล้วเราจะหวังให้คนที่ผ่านระบบนี้ออกมา กลายเป็นพลเมืองดีได้อย่างไร?
เรื่องราวของคุก VIP และ ซีรีส์ อาชญาโกง 2 กำลังตะโกนบอกเราด้วยประโยคเดียวกันว่า “ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของปัจเจก แต่เป็นปัญหาของโครงสร้าง” มันคือโครงสร้างที่อนุญาตให้มีห้องลับ โครงสร้างที่ทำให้คนรวยรอดคุก (หรือไม่ก็ไปนอนอยู่ในโรงพยาบาลห้องหรูแล้วอ้าง “ป่วย”) โครงสร้างที่ทำให้คนจนไม่มีที่ยืน และโครงสร้างที่ไม่เคยคืนความเป็นมนุษย์ให้ใคร
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การมีอยู่ของความมืด แต่คือการที่สายตาเราชินชากับความมืดจนคิดว่ามันคือสภาวะปกติ ว่านี่แหละ คือแสงที่สว่างแล้ว การลุกขึ้นสู้ของ “หลิว” หรือการที่มีผู้กล้าท้าอำนาจเปิดโปงเรื่องคุก VIP อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงระบบเน่าเฟะนี้ได้ในชั่วข้ามคืน เป็นดั่งเพียงการจุดเทียนไขในถ้ำที่กว้างใหญ่ แสงนั้นอาจส่องไปไม่ถึงก้นถ้ำ แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้เราได้เห็นว่า “ความมืดนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
และเมื่อเราเริ่ม “เห็น” เราถึงจะเริ่ม “แก้” มันได้
ในโลกที่ความจริงมีราคาแพงลิบลิ่ว และความยุติธรรมถูกวางขายในตลาดมืด ความกล้าหาญของคนตัวเล็กๆ ที่จะไม่ยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้อง อาจเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ที่จะคอยยันประตูเหล็กนั้น ไม่ให้ปิดตายลงไปตลอดกาล
.
ร่วมตามหาความจริงที่ถูกซ่อน และตีแผ่ระบบที่บิดเบี้ยวไปกับ “อาชญาโกง 2 (Corrupted)” รับชมได้แล้ววันนี้
ทาง ▶️ https://vipa.me/th/contents/8411/corrupted
แหล่งอ้างอิง
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)