อ่านแล้ว 0
คุณเห็นคุณค่าของการมองเห็นมากแค่ไหน?
ถ้าวันหนึ่ง คุณต้องสูญเสียดวงตาของคุณไปเพื่อปกป้องสิ่งที่คุณรัก คุณจะยอมแลกมันไหม คุณจะทำยังไง?
บ่ายวันหนึ่งในบ้านไม้กลางหุบเขา ชายเจ้าของบ้าน “ตั๋น มณีโต” หรือที่เรียกกันว่า “ลุงตั๋น” นั่งเล่าชีวิตของตัวเองอย่างเงียบๆ ราวกับเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อวาน ทั้งที่ความจริงมันผ่านมานานหลายสิบปีแล้ว ทว่าความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความหมายของเหตุการณ์นั้นยังคงคมชัด ไม่ต่างจากรอยแผลบนดวงตาข้างซ้าย ที่ลุงตั๋นไม่มีอีกต่อไป
ป่าคือสถานที่ที่มนุษย์เข้าไปแล้วเงียบลงเสมอ ไม่ใช่เพราะกลัวอันตราย แต่เพราะธรรมชาติมีภาษาเป็นของตัวเอง ภาษาแบบที่ไม่ได้ออกเสียง แต่ดังมากพอจะบอกสถานะของชีวิตได้ทั้งหมด ลุงตั๋นคือคนหนึ่งที่เลือกฟังภาษานี้มาครึ่งค่อนชีวิต เขารักป่ามาก และยึดเจตจำนงที่จะรักษ์ป่าจนเลือกประกอบอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าในจังหวัดเชียงใหม่ และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นมาโดยตลอด
แต่แล้วภาษาของป่าก็เปลี่ยนชีวิตเขาไป
คืนหนึ่งระหว่างการลาดตระเวน ลุงตั๋นได้ยินเสียงหมาเห่าในความมืด สัญญาณเตือนถึงภยันตรายที่กำลังเยื้องกรายเข้ามาในไม่ช้า ความเงียบของป่าถูกฉีกออกด้วยเสียง “ปัง” ที่พุ่งตรงเข้าสู่ดวงตาซ้ายของเขา ความร้อนผ่าวที่สัมผัสได้บนใบหน้าได้ปิดดับการรับภาพของเขาไปตลอดกาล
ถึงแม้ว่าลุงตั๋นจะรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่การที่คนๆ หนึ่งต้องสูญเสียการมองเห็นซึ่งเคยใช้การได้ดีไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายจะทำใจได้แต่อย่างใด เขาสูญเสียดวงตา สูญเสียความมั่นใจ และสูญเสียศรัทธาว่ามนุษย์กับป่าจะสามารถอยู่ร่วมกันได้จริงไป ความแค้นเป็นอารมณ์แรกที่เข้ามาครอบงำโดยบัดดล แต่เมื่อความเจ็บปวดทุเลาลง ลุงตั๋นเริ่มตั้งคำถามเพื่อตกผลึกกับตัวเอง ว่า “ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เรารักษาป่าไปเพื่ออะไร” คำถามนี้ทำให้ความแค้นที่เคยขมุกขมัวค่อยๆ แตกตัวจนกลายเป็นความเข้าใจซึ่งแผ่กว้างกว่าความเสียใจที่ได้รับมา
“กระสุนลูกนี้เป็นกระสุนที่เปลี่ยนความคิด” ลุงตั๋นเล่า
คล้ายกับว่า ดวงตาที่ดับมืดไป ได้เปิดขึ้นใหม่ และทำให้เขามองเห็นโลกในมุมมองใหม่ เขาหันมาปรับเปลี่ยนวิธีการอนุรักษ์ป่า จากเดิมที่ป้องกันเพียงอย่างเดียว ทำหน้าที่เพียงทีมเดียว ก็กลับมามุ่งเน้นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ มุ่งเน้นการปลูกสร้างจิตสำนึก เผยแพร่องค์ความรู้ และก่อสร้าง “ชุมชนเข้มแข็ง” ที่มีความเห็นอกเห็นใจต่อธรรมชาติร่วมกัน และทำให้เขาไม่ได้ “สู้อยู่คนเดียว” อีกต่อไป
ตัวเลขจากกรมอุทยานฯ เปิดเผยว่า แค่เพียงในช่วง 5 ปีมานี้ มีเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าไทยต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตในหน้าที่ถึงหลักร้อยคน นี่คืออาชีพที่ต้องเสี่ยงกับความตายทุกวันกับเงินเดือนน้อยนิด แต่แลกมากับความหวังกระจิดริดว่าผืนป่าจะยังคงได้อยู่ต่อ
ประเทศไทยยังมีพื้นที่ป่าธรรมชาติอยู่ราว 16–17 ล้านเฮกตาร์ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ประเทศ แต่ในทางตรงกันข้าม เรายังสูญเสียพื้นที่ป่าในระดับหลักหมื่นเฮกตาร์ต่อปี ซึ่งแปลว่าการอนุรักษ์ต้องทำควบคู่กับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน การล่าสัตว์ผิดกฎหมายและการแปรสภาพที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรมคือปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการสูญเสียป่า พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากคนกลุ่มเดียว แต่มีรากฐานจากทั้งเศรษฐกิจ ความยากจน ความต้องการตลาด และการขาดความรู้ความเข้าใจในคุณค่าระบบนิเวศ ทำให้แนวทางการปกป้องป่าเพียงเชิงบังคับมักได้ผลไม่ยั่งยืน
ด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งการก่อตั้ง “ชมรมนักสื่อความหมายธรรมชาติ” ชมรมเล็กๆ ที่เชื่อว่าธรรมชาติจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อคนเข้าใจมัน ลุงตั๋นจึงเดินทางไปตามหมู่บ้าน โรงเรียน และพื้นที่ห่างไกลเพื่อบอกเล่าเรื่องธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยภาษาวิชาการ แต่เป็นภาษาของชีวิตจริง เด็กๆ และชาวบ้านจะได้เรียนรู้ธรรมชาติผ่านการสังเกต ฟังเสียงลม ดูรอยเท้าสัตว์ หรือเรียนรู้วงจรของชีวิตที่เกิดในป่า สถิติจากงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมในไทยชี้ชัดว่า การอนุรักษ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือรูปแบบที่ให้ชุมชนเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างแท้จริง การสร้าง “ความเข้าใจ” จึงมีค่ามากกว่าการสร้าง “กฎ” สิ่งที่ลุงตั๋นสร้างจึงไม่ใช่เพียงแค่ชมรม หากแต่เป็น “สายใย” ระหว่างคนกับป่าที่กำลังกลับมาอย่างช้าๆ
การทำงานของลุงตั๋นไม่ได้ยิ่งใหญ่ในสายตาใคร แต่มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพื้นที่จริง ชุมชนที่เคยมีประวัติบุกรุกป่ากลับเริ่มหยุดพฤติกรรมลง ต้นไม้ที่ปลูกไว้ค่อยๆ ฟื้นตัว ชาวบ้านหลายพื้นที่เริ่มเห็นคุณค่าของธรรมชาติด้วยตัวเอง “พี่ฟร้อง” ประธานชมรมฯ คนปัจจุบัน กล่าวไว้อย่างถ่อมตัวว่า “พวกเราเป็นแค่สื่อกลางเล็กๆ ที่ช่วยให้คนเข้าใจธรรมชาติมากกว่าเดิม” เฉกดั่งลายเสื้อของชมรมที่ปักคติพจน์เตือนใจไปพร้อมๆ กับสะท้อนอัตลักษณ์ว่า “ข้าคือ นักสื่อความหมายธรรมชาติ”
ลุงตั๋นรู้ดีว่าคนๆ เดียวทำงานใหญ่ไม่ได้ แต่ความเชื่อที่ถูกสานต่อไปต่างหาก ที่ทำได้ เขาพูดเสมอว่า “ไม่ต้องจดจำชื่อลุงก็ได้ แต่ขอให้อุดมการณ์ยังเดินต่อ” แม้จะสูญเสียดวงตา แต่เขากลับได้สายตาอีกแบบหนึ่งที่มองเห็นชัดยิ่งกว่าเดิม นั่นคือการได้เห็นความหวังที่ค่อยๆ เบ่งบานขึ้นในชุมชนทีละน้อย เหมือนต้นกล้าที่แตกกิ่งงอกใบเงียบๆ แต่ก็งดงามและแข็งแรงเกินกว่าใครคิดหากได้เติบโตต่อไป
สารคดี “One with the Forest เป็นหนึ่งเดียวกับป่า” จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของอดีตเจ้าหน้าที่ที่ถูกยิง ทว่าคือภาพของมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ว่าป่าจะอยู่รอดได้เพราะความรัก ไม่ใช่ความกลัว ชีวิตของลุงตั๋นทำให้เห็นว่า ความสูญเสียบางอย่างอาจกลายเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเสมอ อย่างที่ลุงตั๋นได้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของชีวิต
ในความเงียบของป่า สายลม เสียงนก และความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน คือคำตอบว่า สิ่งที่ลุงทำมาตลอดอาจไม่ได้ปกป้องป่าเพียงฝ่ายเดียว แต่ป่าเอง ก็ช่วยพยุงหัวใจของเขากลับขึ้นมาเช่นกัน
ความจริงของการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการอยู่กับมันอย่างเห็นคุณค่าและเข้าใจ จนไม่ต้องมีคำว่าผู้พิทักษ์หรือผู้ถูกปกป้อง มีแค่เพียงชีวิตที่เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ป่าไม่เคยทอดทิ้งคนที่ศรัทธาในมัน เหมือนที่ลุงตั๋นไม่เคยทอดทิ้งป่าเลยแม้เพียงวันเดียว
รับชมสารคดีสั้น “One with the Forest เป็นหนึ่งเดียวกับป่า” สารคดีรางวัลชมเชยในโครงการประกวดค้นหานักสร้างสรรค์สารคดีรุ่นใหม่ #VIPAPitchingProject2025 ได้ที่ ▶️ https://vipa.me/th/watch/14539
.
แหล่งอ้างอิง
คนชอบเล่าเรื่องที่ไม่เคยหมดเรื่องเล่า โตมากับวัฒนธรรมป๊อป และยังสนุกกับการตั้งคำถามกับโลกใบนี้อยู่ทุกวัน แม้ความช่างเพ้อฝันจะทำเงินไม่ค่อยได้... ก็ยังเลือกที่จะฝันอยู่ดี :)